แอร์สาวไทยเบสต่างประเทศกลั่นความรู้สึกในวันที่ไม่ได้กลับไทยเกือบ 5 เดือน หลายคนอิจฉาแต่ใครไม่อยู่จุดนี้คงไม่เข้าใจ

แอร์สาวไทยเบสต่างประเทศกลั่นความรู้สึกในวันที่ไม่ได้กลับไทยเกือบ 5 เดือน หลายคนอิจฉาแต่ใครไม่อยู่จุดนี้คงไม่เข้าใจ

เชื่อว่าอาชีพแอร์โฮสเตสคงเป็นอาชีพในอันดับต้นๆที่ใครๆต่างก็ใฝ่ฝัน ยิ่งแอร์โฮสเตสที่ได้บินระหว่างประเทศ ได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่เป็นประจำคงเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะมายืนจุดนี้พวกเธอต้องมุ่งมั่น พยายาม และเสียสละอะไรๆไปมากแค่ไหน เสียสละเวลาอยู่กับครอบครัว คนรัก เสียสละที่จะต้องอดไปร่วมงานเทศกาลหรืองานสำคัญๆหลายๆอย่าง และต้องเดินทางไกลจากบ้านเกิดที่คุ้นเคย ยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดการปิดประเทศ ทำให้แอร์โฮสเตสหลายๆคนต้องติดอยู่ต่างประเทศไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือน เหมือนกับแอร์สาวรายนี้

คุณ Namphon Sirikul แอร์โฮสเตสสาวเบสต่างประเทศของสายการบินชื่อดังได้กลั่นความรู้สึกหลังติดอยู่ต่างประเทศกว่า 5 เดือน ความรู้สึกจริงๆที่แสนจะคิดถึงบ้านโพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวเล่าว่า

ความรู้สึกของแอร์เบสต่างประเทศ ในวันที่ไม่ได้กลับไทยเกือบ 5 เดือน

งานของเรา เรารู้ดีว่ามันไม่มีความแน่นอนและตายตัวในเรื่องของเวลา แต่เชื่อไหม ในวันที่ตารางบินออก พวกเรา พยายามจัดสรรตารางในทุกๆ เดือน อย่างดีที่สุด เพื่อให้ได้มีไฟลท์ BKK หรืออย่างน้อยที่สุด HKT ก็ได้ ส่วนตัว ตั้งแต่บินมาที่สายการบินปัจจุบันเกือบ 2ปี เราทำไฟลท์กรุงเทพไปแล้ว 44ครั้ง ซีเนียร์บางคน ทำไฟลท์กรุงเทพมาแล้ว 100, 200, หรือ 300 กว่าครั้งก็มี เรียกได้ว่า ทั้งเดือน พยายามที่จะบินแต่กรุงเทพให้ได้มากที่สุด

หลายครั้ง เพื่อนๆ ที่ไทยถามว่า..
-บิดกรุงเทพเพื่ออะไร?
-เป็นแอร์อินเตอร์ ไหนบอกอยากเที่ยวรอบโลก?
-วันหยุด กลับไทยบ่อยๆ ทำไม?

ใช่...ยอมรับว่า เรามาเป็นแอร์สายนอก เพราะอยากเปิดหูเปิดตา อยากเที่ยว อยากไปเห็นอะไรใหม่ๆ

 

แอร์สาวไทยเบสต่างประเทศกลั่นความรู้สึกในวันที่ไม่ได้กลับไทยเกือบ 5 เดือน หลายคนอิจฉาแต่ใครไม่อยู่จุดนี้คงไม่เข้าใจ

ปารีสหรอ... หอไอเฟลไง
ลอนดอน... หูยยย เข้าเมืองดิ ไปดู Big ben
บรัสเซลหรอ... น้ำพุเด็กผู้ชายไง
โคเปนฮาเกน... มีรูปปั้นนางเงือกนะ (ตัวเล็กมาก)
ออสเตรีย... ไป Hallstatt สิ (3ชม.จากเวียนนา)
เคปทาวน์... Table Mountain เลยยย
สต็อกโฮล์ม... เข้าเมืองเลย ไปย่าน Gamla stan
เจนีวา... เห้ยย ไปดูน้ำพุ Jet D’eau ดิ
โตรอนโต... เนี่ยย เดี๋ยวนั่งรถไป Niagara กัน
ซานฟราน... ไปดูสะพาน Golden Gate มั้ยยย
ซิดนีย์... ออกไป Opera House เถอะ
มิลาน... ไปช้อปปิ้งเลย แบรนด์นั้นแบรนด์นี้ ถูกมาก ฯลฯ และอีกมากมาย ที่เคยคิด และหลายคนคิดเอาไว้

อืมม.. เราไปนะ..ไปมาหมดแล้ว ทุกคนก็จะพูดเหมือนๆ กันว่า "โห..ดีจัง ได้ไปนั่นไปนี่.." แต่สิ่งเหล่านั้น มันก็แค่ชั่วขณะเท่านั้น จะมีใครรู้มั้ย ว่ารูปสวยๆ ที่ออกไปถ่ายตาม Landmark ต่างๆ ต้องหอบร่างหลังแลนด์ออกไป เหนื่อยล้าแค่ไหน บางทีเหมือนลอยออกไปแต่ตัว แต่สมองคืออยู่บนเตียงที่โรงแรมตั้งแต่เช็คอินแล้ว

สุดท้ายเชื่อมั้ย ว่าการไป Layover ต่างประเทศคือการไปหาร้านอาหารไทย อร่อยๆ กิน (ส่วนตัวเรายกให้ ซิดนีย์เลย อาหารไทยอร่อยมาก แถมยังมี Gong Cha อีกด้วย) และการได้ไฟลท์กรุงเทพ เราจะสนุกมากกับการเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแบบมาราธอน ไม่หลับไม่นอน ต่อให้ร่างจะพัง ไฟลท์จะโหด แค่ไหน ความคิดแรกตั้งแต่ sign in ก็คือ “เดี๋ยวเราจะไปทำอะไรก่อนดี?”

ถ้าแลนตอนเช้า ก็จะมีเวลาทั้งวัน ถ้าแลนเย็น/ดึก ก็จะมีเวลาคืนนี้กับพรุ่งนี้เช้า นัดหมอทำหน้า (กดสิว ทรีตเม้นท์ เติมโบ เมโส ฯลฯ) นวดดดด ต้องนวดดด ยาวๆ ไปเลย 3ชม.

เจอพ่อ เจอแม่ เจอเพื่อน เจอแฟน พี่ๆ บางคน รอเจอสามี และลูก...

...จะจัดการเวลายังไงดี พ่อแม่จะแพ็คอาหารมาให้ ต้องเคลียร์เป๋ารอละ ต้องไปซื้อผัก ซื้ออาหารแห้ง มาม่า ผงปรุงรสซอง น้ำยาซักผ้า ปรับผ้านุ่ม ฯลฯ อีก พี่ๆ บางคน ตอนเช้า จะไปส่งลูกไปโรงเรียน หรือถ้าตอนเย็น ก็จะไปรอรับกลับบ้านมาด้วยกัน คนมีแฟน...โอเค เดี๋ยวแฟนมารอที่ล็อบบี้โรงแรม ไปกินข้าวกันที่ไหนดีนะวันนี้...คืนนี้ตี้ได้มั้ยนะ? Layover ยาวนิ ออกได้!

“มึง 2ทุ่มเจอกัน ชงเจริญ คลาสเซต บ้านเพื่อน โคโค่ วอล์ก ข้าวสาร ฯลฯ”...ยาวไป...

แต่นี่ล่ะ มันคือ 24ชม. 36ชม. ที่คุ้มค่ามากที่สุด คือ Layover ที่ดีที่สุด จากการบินไปมาทั่วโลก เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะมันมี “ความสุข” รออยู่ไง

สุข ที่ได้เจอหน้าคนที่เรารัก
สุข ที่ได้กินอาหารที่ถูกปาก
สุข ที่ได้พูดภาษาตัวเอง
สุข ที่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เคยเป็น

การเป็นแอร์ มันสอนให้เราเห็นคุณค่าของเวลานะ

มันทำให้เรารู้ว่า ถ้ามีโอกาสอะไร ให้รีบทำ เราไม่ได้มีเวลาที่ตรงกับคนอื่นมาก แต่เชื่อเถอะ ว่าทุกเวลาที่เราใช้ไป ไม่ว่ากับใครเราใช้มันอย่างคุ้มค่าและเต็มที่มากๆ จริงๆ

ถามว่าเกือบ 5 เดือนที่ผ่านมา...เราที่ติดอยู่ต่างประเทศ พลาดอะไรกันไปบ้าง ที่เจ็บปวดที่สุด ก็คือช่วงวันหยุดต่างๆ ไม่ว่าจะสงกรานต์ วันจักรี วันพืช วันวิสาขฯ อาสาฬห หรือหยุดอะไรใดใด ที่คนอื่นๆ ได้หยุดยาวกันหรืออย่างเดือนนี้ “วันแม่”ที่ปกติเราจะพาแม่ไปกินข้าวทุกปี ก็กลายเป็น ทำได้แค่โทรกลับไทยมองดูรูปในโซเชียล

วันหยุด ที่ปกติ เราจะพยามกลับไทยให้ได้ วันหยุด ที่ปกติ เราจะพยามขอลีฟกัน แต่ตอนนี้เราทำได้แค่ มอง ให้มันผ่านไป หลายๆ ครั้ง เราตั้งคำถามกับตัวเองนะ

-ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานมั้ย?
-ทำไมพี่ๆ เค้าเก่งจัง บินไปบินมา ได้ไงเป็นสิบๆปี
-กลับไปอยู่ไทยดีมั้ย?

แต่พอคิดกลับไปกลับมาอีกที งานนี้ มันก็คืองานที่เรายังรักอยู่ (สำหรับจูเนียร์อย่างเรา) แต่สำหรับพี่ๆ ที่บินมาเยอะๆ แล้ว...ก็ไม่แปลกใจหรอก ที่เค้าเลือกที่จะแขวนปีก และกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องแข่งกับไทม์โซนใดใด ไม่ต้อง 4x100 เพื่อไปสนามบินหลังแลน ไม่ต้องไปยืนรอตั๋วแสตนบาย ลุ้นที่บนไฟลท์ ก็เอาเป็นว่า ถ้าวันนึง ชีวิตเรามีแพลนที่ไทยชัดเจน มีเป้าหมายว่า “กลับไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร”

เพื่อตัวเอง...เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพมั้ย?
เพื่อครอบครัว...เราสามารถเป็นเสาหลักได้รึเปล่า?
เพื่อคนรัก...เรามีอนาคตร่วมกันแน่แล้วใช่มั้ย?

สำหรับเรา ถ้า 3 อย่างนี้ ตอบโจทย์ทั้งหมดละก็... "One day the plane ticket will be one way"

แต่ตอนนี้ ขอกอดตัวเอง ไปก่อนนะ อยากให้คนที่ไทยรู้ว่า พวกเราก็รออยู่...รอวันที่ไทยจะเปิดประเทศ จะได้ “กลับไปหาความสุขของเรา” เหมือนกัน ๐๒.๐๘.๒๕๖๓ #NmfonStories

รูปภาพจากคุณ Arie Jiaprasert

 

ขอบคุณ Namphon Sirikul