ดร.ธรณ์ เล่าวินาทีวันรับปริญญา แม้เพียงชั่วพริบตา แต่มีคุณค่าไปชั่วชีวิต

ดร.ธรณ์ เล่าวินาทีวันรับปริญญา แม้เพียงชั่วพริบตา แต่มีคุณค่าไปชั่วชีวิต

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม ได้มีการโพสต์รูปภาพผ่านเพจเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุข้อความว่า...

#ชั่วพริบตาที่ชาวูบ มันอาจเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเติบโตมาในโรงเรียนแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่จะมีความรู้สึกเช่นนี้กับพระเจ้าแผ่นดิน เด็กคนนั้นไม่ได้ผูกพันอะไรมากไปกว่าการจำได้ว่าเคยไปยืนเข้าแถวรอรับพระองค์ในวันหนึ่ง รอนานมาก...แดดร้อนมาก เห็นแต่รถ เด็กจำได้แค่นั้น แม้เขาฟังเพลงพระราชนิพนธ์ จนร้องติดปากได้เกือบทุกเพลง ความคิดก็มีแค่ทรงแต่งเก่งจัง เด็กคนนั้นไม่มีปัญญารับทราบว่า ประเทศเป็นอย่างไร โครงการหลวงคืออะไร สำคัญกับชีวิตเขาตรงไหน
 

เขาก็แค่เห็นภาพของกษัตริย์อยู่บนชั้นในบ้าน บ้างก็แปะติดไว้บนฝา คล้ายเป็นภาพประดับ แต่ไม่ใช่ภาพประดับ เป็นส่วนหนึ่งมากกว่า ส่วนหนึ่งที่กลมกลืนแฝงเข้าไปในครอบครัว เด็กคนนั้นเรียนจนจบปริญญา เขาตัดสินใจรับ เพราะเขาอยากเจอในหลวงสักครั้ง อยากรู้ว่าจะเป็นความรู้สึกเช่นใด เป็นประสบการณ์ เขาบอกตัวเองเช่นนั้น แล้วเขาก็ไปอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไปซ้อมครั้งหนึ่งครั้งสอง เขาเบื่อ เขาไม่ชอบนั่งรอ แต่เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเมื่อใกล้วันจริง เขาเข้าแถว กระเถิบไปเรื่อย จนมาถึงจุดที่ช่างภาพอยู่ ช่างภาพบอก เงยหน้านะ สบตาท่าน ภาพจะออกมาสวย อย่าก้มหน้า เขาตั้งใจทำเช่นนั้น เขาก้าวไปทีละจุด สาม สอง หนึ่ง ถึงคิวเขาแล้ว เขาเงยหน้าตลอด จนมาถึงจุดนั้น จุดที่เขามองตรงไปเห็นสายตาของผู้ที่อยู่ในภาพที่เขาเห็นในบ้านมาตั้งแต่เกิด

คนที่แต่งเพลงที่เขาร้องติดปากมาตั้งแต่เด็ก คนที่ไม่เคยปรากฏกาย แต่แฝงอยู่ในครอบครัวเขาตั้งแต่จำความได้ ช่างภาพบอกให้เขาเงยหน้า แต่ความรู้สึกทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า สั่งให้ก้มหน้าเดี๋ยวนี้นะ เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนหัวอ่อน กฎระเบียบอะไรเขาก็แหกกระจายมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ชั่วพริบตา เขากำลังชาวูบ เขากำลังก้มหน้าต่อหน้าพระพักต์พระเจ้าแผ่นดิน แน่นอนว่าภาพนั้นออกมาไม่สวยตามสายตาช่างภาพ แต่ทุกครั้งที่เขามองไปที่ภาพนั้น เขาจำได้ถึง “ชั่วพริบตาที่ชาวูบ” เขารู้ว่าเขาเกิดมาเป็นคนไทย แต่พริบตานั้นทำให้เขารู้สึกเป็นคนไทยมากกว่าเดิม เมื่อเติบโตขึ้น ความรู้สึกเป็นคนไทยมากกว่าเดิม ทำให้เขาได้อะไรบางอย่างจากเส้นทางชีวิต อะไรที่ท้าทายกว่าเดิม ต้องพยายามกว่าเดิม ต้องเหนื่อยกว่าเดิม และสนุกกว่าเดิม มีความหมายกว่าเดิม

หากเปรียบการเรียนตั้งแต่อนุบาลมาจนจบปริญญาตรี คือช่วงแรกของชีวิต เป็นอาหารชุดใหญ่ มีทั้งเปรี้ยวหวานเผ็ดมัน บางจานอร่อยอิ่มเอม บางจานกล้ำกลืนฝืนน้ำตาริน สำหรับเด็กคนนั้น “ชั่วพริบตาที่ชาวูบ” เป็นอาหารคำสุดท้าย เป็นคำที่ไม่คาดหวังใด แต่ยิ่งผ่านไปยิ่งมีความหมาย จนสุดท้าย...คำสุดท้าย...ฝังใจ เด็กแต่ละคน มีความคิดต่างกัน ตัดสินใจต่างกัน ไม่เคยคิดก้าวล่วงว่าทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนั้นแล้วดีนะ ต่อให้ลูกผมเรียนจบ จะรับหรือไม่รับ มันเป็นเรื่องของธรรธ ช่วงเวลาของผมผ่านไปแล้ว และผมตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินใจขึ้นรับปริญญา และได้เจอกับชั่วพริบตาที่ชาวูบ ชั่วพริบตาที่ผมรู้ดีว่า มีคุณค่ากับผมมาจนถึงนาทีนี้ และนาทีต่อๆ ไปชั่วชีวิต

ดร.ธรณ์ เล่าวินาทีวันรับปริญญา แม้เพียงชั่วพริบตา แต่มีคุณค่าไปชั่วชีวิต

ที่มา Thon Thamrongnawasawat