หนุ่มใจสลาย แฟนสาวติดเชื้อเสียชีวิตหลังไปดูดไขมัน คลินิกเสริมความงามปิดเพจเงียบ

หนุ่มใจสลาย แฟนสาวติดเชื้อเสียชีวิตหลังไปดูดไขมัน คลินิกเสริมความงามปิดเพจเงียบ

สมาชิกเฟซบุ๊ก Polchana Jankaseam โพสต์ด้วยหัวใจสลายเล่าเหตุการณ์แฟนสาวเสียชีวิตหลังไปดูดไขมันที่คลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่ง เล่าว่า

ผมขออนุญาต ปรึกษาเคสครับ ตอนนี้ผมรู้สึกแย่มากๆ ครับ

[อัพเดต 27/08/63 22:24น.] แฟนผมได้เสียชีวิตแล้วครับ ชื่อเพจคลีนิก xxxxxx ได้ปิดเพจนี้ไปแล้ว

ผมอยากขอบคุณ ผู้บริหารบริษัทที่ผมและแฟนทำงานอยู่ ฟอร์ด ศรีนครินทร์ - Ford Srinakarin ครับ พอรู้ว่าแฟนผมป่วยหนัก และผมต้องการย้าย รพ. เพื่อการรักษาที่ดีที่สุด พี่ผู้บริหารได้เสนอซัพพอร์ทค่าใช้จ่ายรพ. ให้ก่อนทันที ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่ายอดการรักษาประเมินมาล้านห้า เขาก็เต็มใจช่วย ผมจึงได้พาแฟนมารับการรักษาที่ดีที่สุด ผมไม่ได้ต้องการให้เขาออกเงินให้เลยนะครับ ผมคุยว่าจะผ่อนให้ครับ ขอบคุณที่เห็นพนักงานอย่างผมและแฟนเหมือนพี่น้องเหมือนคนในครอบครัวครับ อีกทั้งยังช่วยให้คำแนะนำและอยู่ข้างๆตลอดเวลา ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ทุกคนที่ทำงานด้วยกันอยู่กันแบบครอบครัว ครับ

[อัพเดต 27/08/63 16:24น.] ทางคลีนิกติดต่อกลับมาแล้วครับ ซึ่งผู้ติดต่อเป็นหนึ่งในผู้บริหาร ได้แจ้งประมาณว่า จะขอผลสรุปสาเหตุจาก รพ. ก่อนหากเป็นที่คลีนิก ถึงจะทำการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายครับ ... แย่ครับเจอคำตอบแบบนี้

[อัพเดต 27/08/63 12:30น.] อาการทรงตัว อาจจะต้องล้างไต ส่วนทางคลีนิกยังนิ่งเงียบทางผู้บริหารยังไม่มีการติดต่อกลับครับ นี่แฟนผมนอน รพ.มา 3 วันแล้วยังรอสรุปอยู่อีก

เรื่องมีอยู่ว่าแฟนผมได้ไปทำศัลยกรรมดูดไขมันขาและแขนและเอาไขมันมาเติมหน้าอกที่คลีนิกแห่งหนึ่งย่าน ยานนาวา ตั้งแต่ทำมาแฟนผมมีอาการเจ็บหน้าแผลที่ทำมาโดยตลอดซึ่งตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นเพราะพึ่งทำมา วันที่ 1 ก็ไปล้างแผลปกติ แฟมผมเริ่มมีอาการเจ็บมากทางคลีนิกก็ให้นอนพักที่คลีนิกประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงกลับบ้าน ซึ่งอาการเจ็บก็ไม่ได้หายแฟนผมยังร้องเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา นอนไม่ได้ หลับไม่ได้ มีอ้วกบางเป็นบางครั้ง

พอวันที่ 2 แฟนผมติดต่อไปทางคลีนิกช่วงเช้าแจ้งอาการที่เจ็บ เพราะเขาเจ็บมากๆ ทางคลีนิกก็บอกเดี๋ยวช่วงสายๆบ่ายๆ ติดต่อกลับ แฟนผมรอจนต้องติดต่อกลับไปหาเอง เขาก็แจ้งว่า เป็นอาการปกติ ช่วงบ่ายของวันที่ 2 แฟนผมเริ่มอ้วกหนักขึ้นและมีอาการปวดท้อง ทางที่บ้านเลยโทรหาคลีนิกและนัดเข้าไปดูอาการ ถึงคลีนิกประมาณเกือบๆ หนึ่งทุ่ม ทางคลีนิกก็ดูแลให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้ปวดให้ หากไปสักพักใหญ่ๆ ทางผมก็ไปสอบถามว่าอาการแฟนผมเป็นยังไงบ้าง เขาแจ้งว่า อาการดีขึ้นเดี๋ยวให้น้ำเกลือและพักผ่อนอีกสักพักก็หายแล้ว ทางผมเลยบอกว่างั้นฝากด้วยนะครับ เดี๋ยวพวกผมไปหาข้าวกินแถวนี้ก่อน หลังจากออกจากคลีนิกไม่ถึง 5 นาที ทางคลีนิกโทรมาแจ้งว่า แฟนผมต้องไป รพ. ผมก็ถามอาการเป็นอะไรทำไมต้องไป เขาก็บอกอาการแย่ให้ที่ รพ. รักษาดีกว่า ผมก็ถามกลับว่าได้ครับ และพี่จะพาไปรพ. ไหนครับ เขาก็แจ้งว่าเดี๋ยวถ้าจะไป รพ. ไหนเดี๋ยวโทรกลับมาแจ้ง ทางผมก็รีบกินข้าวและก็รีบกลับไปคลีนิกซึ่งไม่ถึง 10 นาที ผมก็กลับมาที่คลีนิก มีผู้หญิงสูงอายุแต่งชุดธรรมดา อยู่คนนึงกำลังเก็บของที่คลีนิก (ซึ่งมาทราบทีหลังว่า ผู้หญิงคนนี้เป็น ผู้บริหาร) เขาก็แจ้งว่าได้พาแฟนออกไป รพ. แล้ว ทางผมก็เริ่ม งง เลยถามกลับไปว่า รพ. ไหนครับ และทำไมเขาไม่โทรแจ้งผมก่อน ผมก็รีบติดต่อคนของคลีนิกที่ดูแลเคสนี้อยู่ว่าพาไป รพ. ไหน (นามสมมติ Ch) พอทราบผมก็รีบตามมาทันที

พอมาถึง รพ.Ch ผมก็รีบเข้าไปถามคนของคลีนิกคุยกันและมีบอกต่อว่าเขาเล็กน้อยว่า ทำไมไม่โทรแจ้ง หลังจากนั้นทางคลีนิกก็มาถามเรื่องประกันสังคม ผมบอกว่าแฟนอยู่อีก รพ. นึง ระหว่างรอก็ทราบอาการเป็นระยะๆ จากคนของคลีนิกว่า แฟนผมหน้าจะเป็นติดเชื้อทางเดินอาหาร และทางผมก็มีไปถาม รพ. เองโดยตรงซึ่งทาง รพ.ก็แจ้งว่า หน้าจะติดเชื้อในกระแสเลือดแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นเชื้อตัวไหน เจาะเลือดแฟนผมไม่ตรวจอยู่ อยู่รพ.แรกตั้งแต่ประมาณ ทุ่มครึ่ง จนถึงตี 4 ต้องย้ายตัวไปอีก รพ. นึง (นามสมมติ L) ซึ่งมีสิทธิประกันสังคม พอย้ายมาก็เหมือนเริ่มตัวใหม่ เจาะเลือดใหม่ และถูกส่งตัวเข้าห้อง ICU จนวันนี้ 2-3 วันแล้วยังไม่ทรบว่าเป็นเชื้อตัวไหนครับ และอาการแฟนของผมแย่ลงตลอด ระหว่างอยู่ รพ.L ผมเห็นอาการแย่ลง และทาง รพ.L ได้นัดให้คุยกับหมอประมาณ 10โมงเช้า ผมกลับจากเยี่ยมแฟนประมาณ 2 ทุ่มถึงบ้านกำลังจะนอนอยู๋ดีๆก็รู็สึกไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ ผมก็เลยโทรไปที่ รพ.L ติดตามอาการแฟน ทาง รพ.L ได้แจ้งว่า แฟนผมอาการทรุดลงอีกแล้ว ต้องเจาะเส้นเลือดต้องคอเพิ่ม ผมและทางครอบครัวผมก็ได้คุยกันว่าอยากให้ย้ายไป รพ. ที่ใหญ่และมีเครื่องมือพร้อม ผมก็ทำเรื่องสอบถามไว้ 2 รพ. ใหญ่ (ตอนประมาณเที่ยง)

ผมขออนุญาตใช้นามสมมติก่อนนะครับ มี รพ.B กับ รพ.S และก็ปรึกษา รพ. ว่าถ้าจะย้ายคนไข้มาที่ รพ. ขั้นตอนเป็นยังไงและมีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ ทาง รพ.B ก็ได้รีบติดต่อกลับมาที่ รพ.L ถามถึงเคสและอาการ ส่วน รพ.S ต้องจองคิวซึ่งมีคิวล่วงหน้าประมาณ 6 คิว กลับมาที่ รพ.B พอติดต่อเสร็จ ทางรพ.L ก็ได้ติดต่อมาหาทางผมทันที มีการพูดจาไม่ดีใส่ ยิงคำถามมาว่า คนไข้จำเป็นจะต้องย้ายเลยหรอคะ มีความจำเป็นมากมั้ย ทางผมก็บอก ผมก็ไม่ได้ว่าจะให้ย้ายเลย ผมให้ทาง รพ.B ติดต่อไปสอบถามเคส เพื่อดูว่าย้ายได้มั้ยและประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น ทางรพ.L ก็ได้ได้นัดหมอ(เป็นหมอเวณ)มาคุยให้ภายในคืนนั้นเลยประมาณตี 2-3 และทางผมไม่พอใจอย่างมาก ทั้งใส่อารมณ์ทั้งขึ้นเสียงใส่ ถามผมว่า มันมีความจำเป็นมากมั้ยที่ต้องย้ายรพ. ย้ายทำไม ถามซ้ำไปวนมาใส่อารมณ์ไม่พอใจ ตอนแรกทางผมก็พยายามอธิบายปกติ จนเหมือนนางจะได้ใจก็ถามคำถามเดิม ยังใส่อารมณ์ไม่หยุด ผมเลยทนไม่ไหว ใช้อารมณ์ขึ้นเสียงใส่หมอ และว่าหมอไปเหมือนกันว่า ทางผมไปปรึกษาหาข้อมูลครับและยังไม่ได้ตัดสินใจ ทางผมก็ต้องขอคำปรึกษาจากหมอเหมือนกันว่า สามารถย้ายได้มั้ยจะเป็น อันตรายต่อคนไข้หรือเปล่า ซึ่งทาง รพ.B ที่ผมไปติดต่อเขาสามารถย้ายได้และพร้อมให้ย้าย แต่ รพ.L บอกว่าไม่ควรย้ายซึ่งตอนนั้นเป็นหมอเวณดึกที่ใส่อารมณ์มาให้คำตอบ ทางผมก็เชื่อหมอที่อยู๋หน้างานอยู๋แล้ว ซึ่งเขาหน้าจะมีเหตุผลที่เป็นอันตรายจริงๆ คุยกันจบก็แยกย้ายกลับบ้านนอนครับ

วันที่ 3 ตอนประมาณ 9 โมงเช้าทาง รพ.B ก็โทรมาถามเรื่องจะย้ายว่า ทางผมต้องการย้ายมั้ย (เพราะเมื่อคืนไม่ได้แจ้งเขาว่าคุยกับหมอ หมอไม่แนะนำให้ย้าย) ผมก็แจ้งกับทาง รพ.B ไปตามที่ได้คุยกับหมอ พอ 11 โมงผมก็ไปเยี่ยมปกติ ป้อนข้าวเช็ดตัว และได้มีคุยกับหมออีกคนเพิ่มเติมซึ่งได้มาดูอาการแฟนผมช่วงเช้า และได้เล่าเหตุการเมื่อคืนให้ฟัง ซึ่งจริงๆถ้าไม่เล่า เขาหน้าจะรู้กันอยู๋แล้ว เพราะมีการเถียงกันค่อนข้างเสียงดัง ทางหมอรอบเช้าก็อธิบายสาเหตุของอาการแต่ยังสรุปไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร ผมเลยบอกเรื่องที่จะย้าย และถามหมอตรงๆเลยว่า ประกันสังคมและเสียเงินเอง วิธีการรักษาหรือตัวยาต่างกันมั้ย ทางหมอยืนยันว่าไม่ต่าง ผมก็โอเครไม่ต่างนะ ไม่ต่างก็ไม่ต่าง ทางรพ.L ทำเต็มที่ทั้งตัวยาทั้งการรักษา ไปต่างจากเอกชน อุปกรณ์พื้นฐานเหมือนกัน และหมอยืนยันว่าไม่ควรย้าย รพ. แต่ถ้าจะย้ายก็ย้ายได้นะครับ ทางผมก็เชื่อหมอครับ ไม่ต่างก็ยังไม่ย้ายครับ หลังจากเยี่ยมแฟนเสร็จช่วงบ่าย 2 หมอได้มีการแจ้งว่า จะเปลี่ยนตัวยาให้ใหม่ทั้งหมด และเข้าอุโมงสแกน ผมก็รับทราบและกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านยังไม่ได้พักไม่ถึง 10 นาที หมอโทรตามครับ หมอคนเดิมเลยครับ บอกแฟนผมต้องใส่ท่อช่วยหายใจชั่วคราว และก็ต้องย้าย รพ. ซึ่งทาง รพ.L ไม่สามารถรักษาต่อให้ได้เนื่องจาก อุปกรณ์และเครื่องมือไม่พร้อม ผมเป็น งง หนักไปอีกวุ่นวายไปหมด หมอก็เตรียม รพ.ให้ 3 รพ.ในเครือซึ่งผมบอกว่า ย้ายไปเอกชนก็ได้ครับ เอาที่ด่วนและเร็วที่สุด ผมรอตั้งแต่ 4 โมงเย็นจนถึงประมาณ 6 โมงทุ่มนึง สุดท้าย 3 รพ. ที่ติดต่อเขาไม่รับ และรพ.S ที่ติดต่อไว้ผมก็ยกเลิกคิวไปแล้ว และเขาไปติดต่อใหม่ก็คือมีคิวรออยู่ 4 คิว จนผมรอไม่ไหวผมก็บอกหมอเลยว่า ผมจะย้ายไป รพ.B ไม่ต้องหา ไม่ต้องรอแล้ว จนหมอต้องทำเรื่องย้ายให้ (ซึ่งผมมารู้ตอนหลังว่า ทาง รพ. ต้องรับผิดชอบหากไม่สามารถรักษาผู้ป่วยต่อได้) ทำเรื่องจนได้ย้าย มาที่รพ. B เรียบร้อยครับ ตอนนี้อาการยังทรงตัวอยู่

ขอเล่าเน้นเรื่องของ คลีนิกนะครับ วันที่ต้องย้าย รพ. มา รพ.B ผมได้โทรแจ้งกับคลีนิก ถามเขาว่าจะช่วยเหลือยังไง ถ้าเขาได้ส่ง หัวหน้า มาดูอาการและตามมาด้วย ผู้บริหาร (ก็คือผู้หญิงสูงอายุที่ว่า ก็รู้ตอนนี้แหละครับว่าเป็นผู้บริหารคลีนิก) ซึ่งได้คุยกันกับหมอ รพ.L ถึงอาการ ทางผู้หารคลีนิกก็แจ้งว่าจะนำข้อมูลนี้ไปแจ้งกับแพทย์เจ้าของเคส คุยจบผมก็ถามผู้บริหารคลีนิกว่า จะสรุปให้ได้ เขาแจ้งเดี๋ยวโทรแจ้งกับแพทย์เจ้าของเคสเลย หลังจากนั้นนางก็หายไปเลย และคนของคลีนิกก็เริ่มหายไปทีละคน จนผมโทรถามคือกลับบ้านกันไปหมดแล้ว และบอกแค่ว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ทางผู้บริหารทุกคนจะคุยกันและสรุปแจ้งกลับมา จนป่านนี้จะ 11 โมงแล้วยังไม่มีการติดต่อกลับมาเลยครับ

ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาให้แฟนผมหายดีทั้งบนถวายของ บนจะบวช ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จึงอยากปรึกษาครับ ถ้ามีกรณีแบบนี้ เราควรทำอย่างไรกับ คลีนิก และควรเป็นในรูปแบบไหนดีที่สุดครับ

เดี๋ยวผมอาจจะมาเปิดเผยชื่อ คลีนิกและรพ. ต่างๆนะครับ ถ้าทำได้และสมควรจะทำ

 

ขอบคุณ Polchana Jankaseam