ชายสุดทนขอหย่าเมีย เพื่อไปสานรักอดีตแม่ยาย แอบคบจนสุดท้ายได้แต่งงานกัน

ชายสุดทนขอหย่าเมีย เพื่อไปสานรักอดีตแม่ยาย แอบคบจนสุดท้ายได้แต่งงานกัน

เว็บไซต์เดลี่สตาร์ มีรายงานเรื่องราวของ ไคลฟ์ บลันเดน ชายวัย 65 ปี ซึ่งได้กลายมาเป็นข่าวฮือฮาในอังกฤษ หลังจากที่เขาตัดสินใจแต่งงานอยู่กินกับหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในสถานะ "แม่ยาย" ของเขา แม้มันจะเป็นความรักที่ไม่ได้รับการสนับสนุน อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องกฎหมาย แต่ในที่สุดเขาก็ยืนกรานที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ลบคำสบประมาทที่ผู้อื่นมองว่าความสัมพันธ์นี้คงอยู่ได้ไม่ยืดยาวนัก

รายงานเผยว่า ไคลฟ์ บลันเดน แต่งงานครั้งแรกกับเด็กสาวที่ชื่อ ไอรีน เมื่อปี 2520 และได้พบกับ เบรนดา แม่ของไอรีน เป็นครั้งแรกในตอนนั้น

งานแต่งงานของเขากับไอรีนเป็นไปอย่างหวานชื่น มีกลิ่นอายของความโรแมนติก เขาใช้ชีวิตอยู่กินกับไอรีนมานานหลายปี กระทั่งมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาก็มีปัญหา กระทั่งนำมาสู่การหย่าร้างกันในปี 2528

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็คือ ไคลฟ์จะเบนเป้าความสนใจไปหาหญิงที่เป็นแม่ยายของเขา โดยทั้ง 2 คนแอบคบกันอย่างลับ ๆ โดยไม่ให้คนในครอบครัวรู้ พวกเขายอมรับว่าตกลงใจเดตกันจริงจังในปี 2532 หลังจากที่ไคลฟ์แวะมารับเบรนดาไปกินดื่มด้วยกัน ก่อนจะจบค่ำคืนนั้นลงด้วยจูบ

แม้ว่าไคลฟ์กับเบรนดาจะมีอายุห่างกันถึง 12 ปี แต่ไคลฟ์ยืนยันว่าความสัมพันธ์ของเขากับเธอเป็นเหมือนมนตร์พิเศษ ทุก ๆ ล้วนบอกว่าเขากับเธอคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน คบกันไม่ยืด แต่จนถึงตอนนี้ หลังใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาร่วม 30 ปี ทุก ๆ สิ่งก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าความรักของพวกเขาเป็นของจริงแท้

เบรนดา ซึ่งขณะนี้อายุ 77 ปีแล้ว เผยว่า ไคลฟ์นั้นเป็นสุภาพบุรุษ เขาคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี พวกเธอมีเรื่องโต้เถียงกันอยู่บ้าง แต่ส่วนมากเธอจะเป็นฝ่ายท้าทายเขา ในขณะที่เขาสามารถทำให้เธอเงียบสงบลงได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไคลฟ์กับเบรนดาจะอยู่กินกันมา 30 ปีแล้ว แต่พวกเขาเพิ่งจะอยู่ในสถานะสามีภรรยาตามกฎหมายมาได้แค่ 13 ปีเท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ การแต่งงานระหว่างอดีตลูกเขยกับแม่ยาย ยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่

ไคลฟ์ ขอเบรนดาแต่งงานครั้งแรกในปี 2540 และพากันไปเดินเรื่องที่สำนักทะเบียนในเมืองวอร์ริงตัน ของอังกฤษ ในไม่กี่วันต่อมา แต่แล้วไคลฟ์กลับถูกจับ พร้อมถูกเตือนว่าเขาอาจต้องติดคุกยาวถึง 7 ปี หากยังยืนกรานจะเดินหน้าต่อไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาก็เลยยอมถอย และหาทางให้เบรนดา เปลี่ยนนามสกุลมาใช้นามสกุลของไคลฟ์แทน

ทั้งนี้ ไคลฟ์ยังได้พยายามรณรงค์ให้มีการปรับแก้กฎหมาย ที่ใช้กันมานาน 500 ปี เพราะเขามองว่าการแต่งงานของเขาถูกหยุดไว้โดยไม่เป็นธรรม กระทั่งอีก 10 ปีต่อมา ศาลในยุโรปถึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการสั่งห้ามการสมรสระหว่างผู้ที่เคยเกี่ยวดองตามกฎหมาย ทำให้ไคลฟ์กับเบรนดามีอิสระที่จะแต่งงานกัน

"ตอนที่เราได้ยินข่าวทางโทรทัศน์ ในเดือนกันยายน 2548 ผมก็คุกเข่าลงขอเธอแต่งงานทันที ผมไม่อาจห้ามน้ำตาได้เลย" ไคลฟ์ กล่าว

กระทั่งในที่สุด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2550 ไคลฟ์ กับ เบรนดา ก็ได้กลายมาเป็นสามีภรรยากัน โดยไปทำเรื่องที่สำนักทะเบียนในเมืองวอร์ริงตัน อันเป็นสถานที่เดียวกับที่เขาเคยแต่งงานกับไอรีน ลูกสาวของเบรนดา

แน่นอนว่าญาติ ๆ ส่วนใหญ่ไม่มีใครเห็นด้วย ไม่มีคนในครอบครัวโผล่มาร่วมพิธีแต่งงานของพวกเขา รวมถึงไอรีน ซึ่งขณะนี้ได้แต่งงานและเริ่มต้นครอบครัวใหม่ไปแล้ว มีเพียงญาติห่าง ๆ เพียงคนเดียวที่ส่งการ์ดมาแสดงความยินดี แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร สิ่งเดียวที่พวกเขาคาดหวัง คือการได้แต่งงานอยู่กินกันเท่านั้น

ไคลฟ์ ยอมรับว่าการได้แต่งงานกับเบรนดา ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป เขารู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองผ่อนคลายมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เขารู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางสิ่งที่ขาดหายไป

ชายสุดทนขอหย่าเมีย เพื่อไปสานรักอดีตแม่ยาย แอบคบจนสุดท้ายได้แต่งงานกัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ความสัมพันธ์ของไคลฟ์กับเบรนดา กลายมาเป็นความรักที่ยืดยาว แต่มันกลับเป็นเหมือนหนามตำใจที่ยังคงหลอกหลอนไอรีน ภรรยาเก่าของไคลฟ์ อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเมื่อหลายปีก่อนไอรีนอ้างว่าสาเหตุที่ทำให้เธอฟ้องหย่าจากไคลฟ์ เพราะเขาเป็นคนที่มีพฤติกรรมรุนแรง ซึ่งเธอก็เคยเล่าให้แม่ฟังถึงสิ่งที่ไคลฟ์ทำกับเธอ เธอจึงไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าสุดท้าย แม่กับเขาจะคบกันจนได้แต่งงาน

ไอรีนยังกล่าวโทษว่า ไคลฟ์เป็นคนที่ทำให้ครอบครัวของเธอต้องแตกแยกกัน ขณะที่เบรนดานั้นก็กลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอไปแล้ว หญิงคนนี้ทรยศเธออย่างร้ายกาจ และเธอจะไม่มีวันให้อภัยทั้งคู่เลย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก เดลี่สตาร์, มิเรอร์, kapook