หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน น้อมรำลึกวันที่ 8 กันยายน วันละสังขาร

น้อมรำลึก ๘ กันยายน วันละสังขาร หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เล่าเหตุการณ์วินาทีหลวงปู่มรณภาพ น่าอัศจรรย์ที่สุด !!!

            หลวงปู่สรวงแต่เดิมเป็นชาวกัมพูชาและได้เดินทางมาอยู่บริเวณอำเภอขุนหาญและอำเภอขุขันธ์ แถบชายแดนตามเชิงเขาพนมดังรัก (พนมดองเร็ก) ซึ่งเป็นเขตกั้นกลางระหว่างประเทศกัมพูชา ท่านเป็นผู้ทรงศีลปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ และได้พักอาศัยอยู่ตามกระท่อมในไร่นาของชาวบ้านโคก และเวียนไปในที่ต่างๆ นานๆ ก็จะกลับมาให้เห็น ณ ที่เดิมอีก ในสายตาและความเข้าใจของชาวบ้านในสมัยนั้นมองท่านว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป และเรียกขานท่านว่า "ลูกเอ็อวเบ๊าะ" หรือ "ลูกตาเบ๊าะ" (เป็นภาษาเขมร หมายถึงพระดาบสที่เป็นผู้รักษาศีลอยู่ตามถ้ำตามป่าเขา)

เช่าพระคลิ๊กที่นี่ เช่าพระที่นี่

น้อมรำลึก ๘ กันยายน วันละสังขาร หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เล่าเหตุการณ์วินาทีหลวงปู่มรณภาพ น่าอัศจรรย์ที่สุด !!!

เหตุการณ์ในวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๒ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง)               

            ตามปกติหลวงปู่สรวงจะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถนั่งรถเดินทางไปไหนมาไหนได้เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันโดยหยุดพักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านจะไม่ค่อยเจ็บป่วยหรือแสดงอาการว่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างไร จะมีบ้างก็เป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ และก็หายได้ในเร็ววัน เพิ่งจะมีอาการป่วยปรากฏไม่กี่เดือนหลังนี้ หลวงปู่มีอาการป่วยและฉันอาหารไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน ท้ายสุดหลวงปู่ได้มาพักอยู่ที่กระท่อมนาข้างวัดป่าบ้านจะบก ในเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. อาการป่วยของหลวงปู่ก็กำเริบหนัก โดยหลวงปู่ได้บอกบรรดาศิษย์ว่าจะไปที่บ้านรุน และได้ให้นายกัณหาผู้เป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่ง ซึ่งอยู่บ้านละลมถอดเสื้อออกมาโบกพัดด้านหลังของหลวงปู่

            หลังจากพัดอยู่นานพอสมควรก็ได้สั่งให้ลูกศิษย์ที่รวมกันอยู่ในกระท่อมในขณะนั้นช่วยกันงัดแผ่นกระดานปูกระท่อมที่หลวงปู่นั่งทับอยู่ออกมาหนึ่งแผ่นทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็นั่งอยู่บนกระดานแผ่นนั้น พองัดออกมาหลวงปู่ได้พนมมือไหว้ทุกทิศ เสร็จแล้วก็ให้ลูกศิษย์หามท่านออกมาจากกระท่อมวางลงบนพื้นดินด้านทิศเหนืออยู่ระหว่ากระท่อมกับต้นมะขาม โดยตัวท่านเองหันหน้าเข้ากระท่อม
           

น้อมรำลึก ๘ กันยายน วันละสังขาร หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เล่าเหตุการณ์วินาทีหลวงปู่มรณภาพ น่าอัศจรรย์ที่สุด !!!

            ขณะนั้น มีผู้นำน้ำดื่มบรรจุขวดมาถวายสองขวด หลวงปู่ได้เทราดรดตนเองจากศรีษะลงมาจนเปียกโชก ไปทั้งตัว คล้ายกับว่าเป็นการสรงน้ำครั้งสุดท้าย นายชัยผู้ขับรถให้หลวงปู่นั่งเป็นประจำได้นำรถมาเทียบใกล้ๆ แล้วช่วยกันพยุงหลวงปู่ขึ้นรถ แล้วขับมุ่งตรงไปที่บ้านรุน ซึ่งอยู่ในเขต อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ โดยมีนายสุข หรือนายดุง (คนบ้านเจ๊ก อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ) ขับรถติดตามไปเพียงคนเดียว พอถึงบ้านรุน นายชัยได้หยุดรถตรงหน้าบ้านนายน้อย เพื่อจะบอกให้นายน้อยตามไป แต่หลวงปู่ได้บอกให้นายชัยขับรถไปที่กระท่อมโดยด่วน โดยสั่งว่า "โตวกะตวม โตวกะตวม กะตวม" พอถึงกระท่อมนาก็ได้อุ้มหลวงปู่วางลงบนแคร่ที่ตั้งอยู่ในกระท่อมแล้วช่วยก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่หลวงปู่ นายสุขได้อาสาออกไปหาอาหารข้างนอกเพื่อมาถวายหลวงปู่ และรับประทานกันเอง นายสุขไปที่บ้านโคกชาติ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ ไปหานายจุก นางเล็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ไปอุฏฐากหลวงปู่เป็นประจำ โดยบอกให้นายจุกรับไปบ้านรุน เพื่อให้ไปดูอาการหลวงปู่ ซึ่งมีอาการป่วยหนักกว่าปกติ 

             ด้านนางเล็กได้จัดหาอาหารและอาหารแห้งมาให้นายสุขส่วนตัวเองกับสามีก็รีบขับรถตามมาทีหลัง พอมาถึงกระท่อมปรากฏว่าไม่มีรถของนายชัยจอดอยู่ พวกที่อยู่ช่วยกันประกอบอาหารอย่างรีบเร่งเพื่อจะให้หลวงปู่ได้ฉัน โดยหวังว่าหากหลวงปู่ฉันแล้วก็คงจะทำให้หลวงปู่มีอาการดีขึ้นบ้าง แต่หลวงปู่ไม่ยอมฉันเลย แม้จะพากันอ้อนวอนอย่างไรก็นิ่งเฉย นายชัยที่ออกไปทำธุระข้างนอกได้กลับมาโดยขับรถตามนายน้อยที่นำของมาถวายหลวงปู่เหมือนเดิม เมื่อไม่สามารถที่จะทำให้หลวงปู่ฉันได้ ทุกคนก็พิจารณาหาวิธีการว่าจะช่วยหลวงปู่ได้อย่างไร

 

น้อมรำลึก ๘ กันยายน วันละสังขาร หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เล่าเหตุการณ์วินาทีหลวงปู่มรณภาพ น่าอัศจรรย์ที่สุด !!!

               ในที่สุดก็มีความเห็นว่าให้รีบแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปด (ดอกไม้ธูปเทียน) ขอขมาหลวงปู่โดยด่วนตามที่เคยกระทำมาแล้วและได้ผลมาหลายครั้ง หลวงปู่หายจากการป่วยทุกครั้งไป โดยการยืนยันของนายชัยว่าถ้าได้แต่งขันธ์ห้าขันธ์แปดขอขมาพร้อมนิมนต์แม่ชีมาร่วมสวดมนต์ให้ท่านฟังด้วยแล้วท่านก็จะหายเป็นปกติ ทุกคนเห็นชอบด้วย จึงได้ให้นายชัยรีบไปดำเนินการโดยด่วน  นายชัยขับรถออกไปที่บ้านขยุง เพื่อไปหาคนที่เคยแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปด เมื่อนายชัยออกไปแล้วลูกศิษย์ที่อยู่ที่นั่น ซึ่งประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านรุน และลูกบ้านอีกหลายคน รวมทั้งเจ้าของกระท่อมนาที่หลวงปู่พักอยู่ด้วยได้ช่วยกันแต่งขันธ์ห้าขันแปดเฉพาะหน้าไปก่อน เพื่อเป็นการบรรเทาจนกว่านายชัยจะตามคนแต่งมาแต่งให้อีกทีหนึ่ง โดยตัวนายน้อยเองได้อาสาไปหาธูปเทียนจากข้างนอก นายน้อยได้ขับรถไปประมาณ ๓๐๐ เมตร ก็ไปติดหล่มไม่สามารถขับออกไปได้ ทั้งๆ ที่เป็นทางที่ขับเข้าออกเป็นประจำไปมาได้สะดวกตลอดเวลา และด้วยความร้อนใจอยากจะได้ธูปเทียนมาโดยเร็ว นายน้อยได้จัดการล็อครถแล้วอุ้มลูกเดินออกไป ช่วงนั้นเองนายชัยก็ได้ขับรถเข้ามาแต่ก็ผ่านเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากรถของนายน้อยจอดติดหล่มขวางไว้จึงได้กลับรถแล้วเอาไปจอดไว้ที่บ้านนายน้อย

             ระหว่างที่กำลังคอยนายน้อยออกไปซื้อธูปเทียนนั้น บรรดาชาวบ้าน บ้านรุน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านก็ได้ทยอยกันลากลับที่ละคนสองคน มีชาวบ้านรุนซึ่งเป็นผู้หญิงพูดออกความเห็นว่าถ้าจะให้ดีแล้วควรนำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลน่าจะเป็นการดีที่สุด แต่ก็กลับบ้าปนไปจนหมดไม่เหมือนทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นจะอยู่กับหลวงปู่ตลอดเวลา ไม่ยอมกลับกันง่าย ๆ จะกลับไปก็ต่อเมื่อหลวงปู่ได้ไปที่อื่นแล้วเท่านั้น มีลูกศิษย์ที่อยู่กับหลวงปู่ในกระท่อมแค่ ๘ คนเท่านั้น รวมทั้งเด็กที่เป็นลูกของนายจุกนางเล็กด้วย ทุกคนก็ต่างหาวิธีการที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นเมื่อจับดูตามร่างกายของหลวงปู่จะเย็นจัดตลอดเวลา บางคนได้เอาหมอนไปอังไฟให้ร้อนแล้วนามมาประคบตามร่างกายของหลวงปู่ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดนิ้งมือนิ้งเท้าหลวงปู่ ทำความสะอาดและเช็ดทั้งร่างกาย

            โดยย้ำว่าให้ทำความสะอาดที่สุด บางจุดที่เท้าของหลวงปู่ที่ลูกศิษย์เช็ดให้ไม่สะอาดพอ หลวงปู่ก็จะชี้นิ้วเกาถูออกอย่างแรงจนสะอาด เมื่อทำความสะอาดร่างกายดีพอสมควรแล้ว หลวงปู่ได้เอ่ยออกเสียงแผ่วเบามาเป็นภาษาเขมร "เนียงนาลาน" (นาง ไหนล่ะรถ) ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบามาก ทุกคนเข้าใจว่าเนียงนั้นหมายถึงนางเล็ก จึงได้พากันอุ้มหลวงปู่ไปขึ้นรถของนายจุกนางเล็ก ผู้ที่อุ้มมีนายจุกและนายตี๋ นายสุขเป็นผู้เปิดประตูรถให้ พอนำหลวงปู่ขึ้นนั่งบนรถลูกศิษย์ได้ปรับเบาะเอนลง เพื่อจะได้ให้หลวงปู่ได้เอนกายสบายขึ้น ท่านได้พยายามยื่นมือมาดึงประตูรถปิดเอง ลูกศิษย์ก็ได้ช่วยปิดให้ รถเคลื่อนออกจากกระท่อมเพื่อจะไปโรงพยาบาลบัวเชด ซึ่งใกล้ที่สุดแต่ไปได้ไม่ถึง ๕๐ เมตร อาการของหลวงปู่ก็เริ่มหนักขึ้นทุกที จนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยด้านหลังตกใจ และร้องขึ้นว่า "หลวงปู่อาการหนักมากแล้ว" จึงจอดรถผู้ที่นั่งอยู่รถคันหลังก็วิ่งเข้ามาดูแล้วก็บอกว่า อย่างไรก็ต้องนำหลวงปู่ไปส่งให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ รถจึงออกอีกครั้ง แต่ไม่สามารถจะไปได้ เพราะรถของนายน้อยติดหล่มขวางทางอยู่ นายจุกได้ร้องตะโกนบอกให้นายจันวิ่งไปสำรวจดูเส้นทางอื่นว่าจะนำรถออกไปทางไหนได้อีก

น้อมรำลึก ๘ กันยายน วันละสังขาร หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เล่าเหตุการณ์วินาทีหลวงปู่มรณภาพ น่าอัศจรรย์ที่สุด !!!

            เมื่อดูโดยทั่วแล้วก็เห็นว่าทางออกอีกเพียงทางเดียว ก็คือขับฝ่าทุ่งหญ้าออกไปหาถนน เมื่อดูสภาพทางแล้วก็ไม่น่าจะออกไปได้ แต่ก็ตัดสินใจขับออกไปและก็สามารถขับผ่านไปได้ เหตุการณ์บนรถในขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อจะขับผ่านทุ่งหญ้าออกไปนั้นได้มีอาการบางอย่างที่เป็นสัญญาณแสดงว่าหลวงปู่จะมรณภาพแน่นอน ให้คนที่อยู่บนรถเห็น ต่างคนก็ร่ำไห้มองดูด้วยความอาลัยและสิ้นหวัง หลวงปู่เริ่มหายใจแผ่วลง ในที่สุดได้ทอดมือทิ้งลงข้างกายแล้วก็จากไปด้วยความสงบอย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ก็ยังคงนำหลวงปู่มุ่งไปที่โรงพยาบาลด้วยความหวังว่าหมอจะสามารถช่วยให้หลวงปู่ฟื้นขึ้นมาได้ ระหว่างไปโรงพยาบาลนั้น นายสาด ชาวบ้านตาปิ่น อำเภอบัวเชด ก็ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมา นายจุกชะลอรถแล้วตะโกนบอกให้นายสาดตามไปที่โรงพยาบาลบัวเชดด่วน โดยบอกว่าอาการหลวงปู่นั้นแย่มาก ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ พอไปถึงโรงพยาบาลแพทย์และนางพยาบาลได้รีบนำหลวงปู่เข้าห้องฉุกเฉิน ทำการตรวจโดยละเอียดแล้วสรุปว่า หลวงปู่สิ้นลมไปแล้วไม่ต่ำว่า ๓-๔ ชั่วโมง แต่ลูกศิษย์ต่างก็ยืนยันว่าสิ้นลมไม่เกิน ๑๐ นาทีแน่นอน เพราะระยะทางจากบ้านรุนมาโรงพยาบาลบัวเชดประมาณ ๑๐ กิโลเมตร และก็ได้ขับรถมาอย่างเร็วด้วย ลูกศิษย์ไม่ให้ทางโรงพยาบาลฉีดยา หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับร่างกายของหลวงปู่ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะช่วยหลวงปู่ได้แน่นอนแล้วก็พากันนำร่างหลวงปู่กลับ

           พอมาถึงบ้านตาปิ่นก็ได้แวะจอดเอาจีวรเก่าของหลวงปู่ที่เคยให้นายสาดไว้ เพื่อนำมาครองให้หลวงปู่ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย นายสาดก็ได้นำขึ้นรถมาด้วย พอถึงบ้านรุน นายชัยและนายน้อยได้จอดรถรออยู่แล้วก็ได้แจ้งว่าหลวงปู่มรณภาพแล้ว ต่างคนต่างก็รีบขับรถออกมาโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านละลม พอมาถึงบ้านไพรพัฒนา นายจุกได้ขับรถแวะเข้าที่วัดไพรพัฒนาเพื่อแจ้งข่าวให้หลวงพ่อพุฒ วายาโม เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนาได้ทราบว่าหลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. หลวงพ่อพุฒกำลังนั่งสนทนากับพระลูกวัดอยู่ก็มีรถ ๔ คันวิ่งมาจอด มีนายสาด ตาปิ่น ซึ่งเป็นคนที่รู้จักขึ้นมาบนกุฏิแล้วบอกหลวงพ่อพุฒว่า หลวงปู่สรวงมรณภาพแล้ว

          หลวงพ่อพุฒอึ้งอยู่ขณะหนึ่งแล้วถามว่า  มรณภาพที่ไหน นายสาดตอบว่า มรณภาพที่โรงพยาบาลและได้นำร่างของท่านมาพร้อมกับรถนี้แล้ว หลวงพ่อพุฒจึงลงไปที่รถแล้วเปิดประตูกราบลงบนตักหลวงปู่ แล้วเอามือจับตามร่างกาย และถามบรรดาลูกศิษย์ว่าจะดำเนินการกันต่อไปอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า จะนำศพหลวงปู่ไปบำเพ็ญที่วัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒบอกให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนจะตามไปทันที รถทั้งสี่คันเคลื่อนตัวออกจากวัดไพรมุ่งหน้าไปยังบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒที่ได้เดินทางตามมาได้อธิษฐานว่า สาธุ

                 "ถ้าหากหลวงปู่มีความประสงค์จะให้ลูกหลานได้เป็นผู้บำเพ็ญกุศล ก็ขอให้หลวงปู่ได้กลับมายังวัดด้วยเถิด" พอถึงหน้าวัดป่าบ้านโคกชาติ มีรถหลายคันจอดอยู่ ปรากฏว่าขบวนที่นำร่างหลวงปู่มาบอกว่าจะนำร่างหลวงปู่กลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัดไพรพัฒนาหลังจากที่เดินทางกลับมาถึงวัดไพรพัฒนาแล้ว หลวงพ่อได้อัญเชิญร่างของหลวงปู่มาไว้ที่ศาลลาพร้อมกับจุดธูปอธิฐานว่า "หากเป็นความประสงค์ของหลวงปู่ที่จะให้ลูกหลานได้บำเพ็ญกุศลในที่นี่จริง ก็ขอให้ดำเนินการไปโดยเรียบร้อย และก็ขอให้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เดินทางมาร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกันด้วย" ต่อจากนั้นก็ได้ดำเนินการบำเพ็ญกถศลให้กับหลวงปู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน นี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดว่าด้วยเหตุใดสรีระของหลวงปู่สรวงจึงได้มาตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

-ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!! หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ท่านแนะเอง ใครเจ็บป่วย รักษาไม่หาย นอนติดเตียง ลองสวดคาถาต่ออายุ แล้วจะพบว่าปาฎิหาริย์มีจริง

-อิทธิฤทธิ์เหนือโลก!! เสกมันสำปะหลังให้กลายเป็น..ปลา ศิษย์กินกันอย่างเอร็ดอร่อย "หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน"พระอริยเจ้าผู้อยู่เหนือกาลเวลา..

 

ขอบคุณที่มาจาก : หนังสือ หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูญ บำเพ็ญกุศลครบ ๑๐๐ วัน