ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้าน!! เรื่องเล่าปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย "หลวงพ่อจง" ที่แม้แต่จีวรห่อร่าง สายสิญจน์โยงศพก็ยังแย่งกัน เพื่อนำไปบูชา!!

ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้าน!! เรื่องเล่าปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย "หลวงพ่อจง" ที่แม้แต่จีวรห่อร่าง สายสิญจน์โยงศพก็ยังแย่งกัน เพื่อนำไปบูชา!!

ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้าน!! เรื่องเล่าปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย "หลวงพ่อจง" ที่แม้แต่จีวรห่อร่าง สายสิญจน์โยงศพก็ยังแย่งกัน เพื่อนำไปบูชา!!

หลวงพ่อจง พุทฺธสโรหรือพระอธิการจง พุทฺธสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก ท่านเกิดเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.๒๔๑๕ ตรงกับต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาชื่อ ยอด มารดาชื่อ ขริบ เป็นชาวอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่ออายุ ๑๑ ปี บิดาได้จัดการบรรพชาเป็นสามเณรให้ที่ วัดหน้าต่างในครั้นอายุครบ ๒๑ ปี ได้ทำการอุปสมบท โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์ วัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ์ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า พุทฺธสโร

เมื่อท่านอุปสมบทแล้วก็อยู่จำพรรษาที่วัดหน้าต่างใน เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและวิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนวิทยาคมต่างๆ กับหลวงพ่อสุ่นและพระอาจารย์โพธิ์ ซึ่งในสมัยนั้น พระสงฆ์สองรูปนี้มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือกันอย่างกว้างขวาง ต่อมาอีกระยะหนึ่งท่านจึงย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดหน้าต่างนอก ในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก

ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้าน!! เรื่องเล่าปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย "หลวงพ่อจง" ที่แม้แต่จีวรห่อร่าง สายสิญจน์โยงศพก็ยังแย่งกัน เพื่อนำไปบูชา!!

หลวงพ่อมี (ลูกศิษย์หลวงพ่อจง) เล่าเหตุการณ์แห่งวาระสุดท้ายในคราวที่หลวงพ่อจงมรณภาพให้ฟังว่า หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มีสุขภาพดี ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อนเลย นอกจากจะเป็นไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ท่านมีสุขภาพดีเพราะว่าในตอนเช้ามืด ท่านจะตื่นขึ้นทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็คว้าไม้กวาดปัดกวาดไปทั่วบริเวณวัด ได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน สุขภาพของท่านจึงแข็งแรง มีความกระฉับกระเฉงเดินเหินคล่องแคล่วว่องไว แม้แต่พระหนุ่ม ๆ ก็ยังเดินเร็วสู้ท่านไม่ได้ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ประมาณ 1 เดือน ท่านเกิดหกล้มในห้องน้ำ จึงเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะแก่มากแล้ว มีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น เวลาพูดก็มีเสียงแหบ ๆ ฟังไม่ค่อยชัด พอมีพระไปเยี่ยมท่านก็จะให้สวดมนต์ให้ท่านฟัง ท่านจะนอนยิ้มฟังพระสวดเป็นการระงับทุกขเวทนาทั้งหลาย โดยไม่เคยร้องหรือบ่นอะไรให้ใครได้ยินเลยแม้แต่เพียงคำเดียว นอกจากท่านจะส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า

คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่แล้วเพียงแค่นี้เท่านั้น

 

ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้าน!! เรื่องเล่าปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย "หลวงพ่อจง" ที่แม้แต่จีวรห่อร่าง สายสิญจน์โยงศพก็ยังแย่งกัน เพื่อนำไปบูชา!!

ในขณะที่ท่านป่วย ท่านก็ยังนั่งรับแขกอยู่จนดึกจนดื่น ไม่ว่าใครจะขอร้องท่านให้พักผ่อนด้วยความเป็นห่วง แต่ท่านก็ไม่ยอกพักกลับพูดว่า เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้ ดูกำลังใจของท่านซิ ดีแค่ไหน วันที่ท่านจะเสียก็ยังนั่งรับแขกอยู่ดี ๆ ตามปกติ วันนั้นฉันสังเกตเห็นอาการของท่านรู้สึกทุเลาขึ้นมาก ต้อนรับแขกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา ฉันเห็นแล้วเกิดสังหรณ์ใจ มันผิดปกติ เพราะว่าคนเราก็เหมือนกับตะเกียง หรือดวงเทียนที่กำลังจะดับ มันจะสว่างวูบขึ้นอีกครั้งก่อนจะดับ ฉันจึงไม่กลับวัด เฝ้าดูท่านอยู่ถึงเย็นก็ได้เรื่องจริง ๆ

หลวงพ่อจง ท่านบอกขอตัวกับแขกว่า

จะนอนฉันเห็นแล้ว

ท่านคงจะไม่ไหวจริง ๆ เพราะตามธรรมดา ท่านไม่เคยออกปากขอตัวกับแขกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว พอฉันเห็นท่านนอนเข้าสมาธิเท่านั้น ก็แน่ใจทันที รีบหาธูปเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัย ท่านก็นอนหลับตาเข้าฌานเฉยอยู่อย่างนั้นฉันก็บอกให้ทุก ๆ คนรู้และให้เงียบ ๆ เข้าไว้เพราะท่านยังไม่ได้ละสังขารยังอยู่ในฌาน คืนนั้นทั้งพระและฆราวาสผลัดกันนั่งเฝ้าหลวงพ่อจงจนดึก ก็มีพระที่วัด ๒-๓องค์เท่าที่จำได้ก็มี หลวงพ่อครุฑ องค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกต่อจาก หลวงพ่อไวทย์ แล้วก็มีพระเพ็ง พระมหาแสวง วัดสีคต เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นวัดสันติการามอยู่เยื้อง ๆ วัดน้ำเต้านั่นแหละ และก็ฉันรวม ๔องค์ แต่ฆราวาสมีมาก พอชาวบ้านรู้ข่าวเข้าเท่านั้นแห่กันมาเฝ้าดูอาการของหลวงพ่อจงด้วยความเป็นห่วงเต็มกุฏิไปหมด เวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ของวันที่เท่าไหร่ฉันจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันมาฆะบูชาพอดี

ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้าน!! เรื่องเล่าปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย "หลวงพ่อจง" ที่แม้แต่จีวรห่อร่าง สายสิญจน์โยงศพก็ยังแย่งกัน เพื่อนำไปบูชา!!

หลวงพ่อจงก็หมดลมละสังขารด้วยความสงบ โดยไม่มีอาการทุรนทุรายใด ๆ ทั้งสิ้นแต่น้อยเลย เพราะท่านมรณภาพในฌาน ฉันกับพระมหาแสวงนั่งสมาธิตามดูท่าน เห็นแต่ลูกไฟดวงใหญ่มีแสงสีเหลืองนวลสว่างไสวลอยออกจากศีรษะของหลวงพ่อจงหายขึ้นไปอย่างรวดเร็วดูตามท่านไม่ทันจริงๆ

สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะไปทั่วกุฏิ เพราะพระและฆราวาสทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่น ต่างก็เห็นดวงไฟลอยออกจากร่างหลวงพ่อจงด้วยตาเปล่าเหมือนกันหมด แม้แต่ชาวบ้านทุกๆ คนที่นั่งอยู่นอกกุฏิก็ยังเห็นลูกไฟดวงใหญ่พุ่งออกมาจากกุฏิหายขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ เหมือนกับว่าท่านจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนเห็นครั้งสุดท้ายเป็นการอำลาอย่างนั้นแหละ พอชาวบ้านรู้ว่าหลวงพ่อจงท่านละสังขารแล้วเท่านั้น ก็พากันร้องไห้ระงม ฮือออ กันเข้าไปยื้อแย่งฉีกจีวรกันใหญ่ พอตอนเช้าก็มีคนแห่กันมาอีกฉีกจีวรจนต้องเปลี่ยนใหม่ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แม้แต่สายสิญจน์ที่โยงจากศพยังแย่งกัน บางคนเอาขมิ้นทามือ ทาเท้า พิมพ์ลงผ้ากันจนมือเท้าของหลวงพ่อเหลืองไปหมด บางคนถอนเล็บออกจากนิ้วมือนิ้วเท้า ยังมีเลือดแดงๆ ติดอยู่เลย มีอยู่รายหนึ่งถึงกับตัดนิ้วมือของท่านไป ปัจจุบันยังใช้ติดตัวอยู่ ก็คนพื้นที่นั่นแหละ ไปถามคนที่นั่นรู้จักชื่อกันทั้งนั้น ดูความศรัทธาที่พวกเขามีต่อท่านซิ แม้แต่ตายแล้วสังขารก็ยังถูกรบกวนไม่มีที่สิ้นสุดสมกับที่ท่านเคยบอกให้ฉันฟังว่า

ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้านเขาจริงๆ

หลวงพ่อจง ถึงแก่กาลมรณภาพในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ เวลา ๐๑.๕๕ น. รวมสิริอายุ ๙๓ ปี

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญา ครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม

แอพเกจิ