- 16 ม.ค. 2560
ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานเอส-400 ถือเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศทันสมัยที่สุดของกองทัพรัสเซีย เป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเอส-300 และมีพิสัยยิงไกลสูงสุด 400 กิโลเมตร
กระทรวงกลาโหมของรัสเซียออกแถลงการณ์ เรื่องการเตรียมนำระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ เอส-400 มาติดตั้งบริเวณ รอบนอกกรุงมอสโก และการเสริมกำลังพลกองทัพอากาศตามภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์รอบเมืองหลวงอีกด้วย โดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพสหรัฐฯ เคลื่อนกำลังทหารมากกว่า 3,500 นาย พร้อมยานยนต์หุ้มเกราะและยุทโธปกรณ์อีกเป็นจำนวนมาก รวมถึง อุปกรณ์หนักที่กองทัพสหรัฐจะส่งตามมาในชุดหลัง รวมถึงรถถังอบรามส์ 87 คัน และยานบรรทุกทหารกว่า 500 คัน รวมถึงรถฮัมวี่ เข้ามาประจำการในโปแลนด์ ตามแผนยุทธศาสตร์ขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) เพื่อเตรียมรับมือ ภัยคุกคาม จากรัสเซีย
ทั้งนี้ ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานเอส-400 ถือเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศทันสมัยที่สุดของกองทัพรัสเซีย เป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเอส-300 และมีพิสัยยิงไกลสูงสุด 400 กิโลเมตร เข้าประจำการในกองทัพรัสเซียตั้งแต่ปี 2550 โดยมีชื่อเรียกภายในกองทัพรัสเซียว่าไทรอัมพ์ และนาโตเรียกว่าโกรว์เลอร์
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม ปี 2559 ประเทศรัสเซียส่งขีปนาวุธ อิสกันเดอร์ ซึ่งสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ ไปยังแคว้นคาลินินกราด ดินแดนทางตะวันตกสุดของประเทศ ซึ่งถูกประกบโดยชายแดนประเทศโปแลนด์ และลิธัวเนีย ในยุโรปตะวันออก
กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมทางทหาร และเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตาม นายอันโตนี มาเซียรีวิกส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโปแลนด์กล่าวว่า การกระทำของรัสเซียเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และพวกเขากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขณะที่ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ นายหนึ่ง บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ว่า ความเคลื่อนไหวของรัสเซียอาจมีเป้าหมายเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ซึ่งกำลังจะส่งกองทัพทหาร 4 กองไปยังโปแลนด์, ลิธัวเนีย, ลัตเวีย และเอสโตเนียในปี 2560
ทั้งนี้ การที่รัสเซียช่วยเหลือกลุ่มกบฏในภาคตะวันออกของยูเครน และการควบรวมดินแดนไครเมียของยูเครนเมื่อปี 2014 ทำให้เกิดความกังวลไปทั่วภูมิภาคว่ารัฐบาลมอสโกอาจกำลังคิดใช้มาตรการแข็งกร้าวต่อประเทศสมาชิกนาโตในยุโรปตะวันออก
เพื่อลดความหวาดกลัวนั้น นาโตจึงประกาศที่การประชุมสุดยอดในกรุงวอร์ซอเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะส่งทหารเข้าไปในประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่านและโปแลนด์ โดยระบุว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อการป้องกันเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เพื่อข่มขู่รัสเซีย
อนึ่ง ระบบขีปนาวุธอิสกันเดอร์ มีพิสัยทำการอยู่ที่ไม่เกิน 700 กม. ซึ่งหมายความว่า หายิงจากคาลินินกราด มันจะสามารถบินไปไกลถึงกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของประเทศเยอรมนี
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ ที่ผ่านมานั้นทางด้าน สหรัฐฯ ได้ทำการส่งทหารชุดแรกของทั้งหมด 3,500 นาย พร้อมด้วยรถถังและยานยนต์อื่นๆ ข้ามแดนจากเยอรมนี เข้าสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์ เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองซาแกน ซึ่งจะเป็นฐานประจำการ การมาถึงของทหารสหรัฐฯ ชุดแรก จะมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ ที่จะถึงนี้ โดยจะมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมของโปแลนด์เข้าร่วมด้วย
นับเป็นหนึ่งในการเคลื่อนย้ายกำลังพลครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพสหรัฐฯ ในยุโรป นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และเป็นไปตามคำสั่งเมื่อปี พ.ศ. 2557 ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ที่กำลังจะพ้นวาระดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. เพื่อสร้างความอุ่นใจแก่บรรดาประเทศพันธมิตรในยุโรปตะวันออก ที่เกิดความวิตกอย่างหนัก เมื่อรัสเซียผนวกดินแดนแคว้นไครเมียจากยูเครนในปี 2557 และเริ่มให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏแยกดินแดนภาคตะวันออกของยูเครน
ปฏิบัติการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐในครั้งนี้ สร้างความโกรธเคืองแก่รัสเซียในทันทีทันใด โดยระบุว่า เป็นภัยคุกคามที่หน้าประตูบ้านของตน นายดมิตรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า ปฏิบัติการนี้เป็นภัยต่อผลประโยชน์และความมั่นคงของรัสเซีย ขณะที่นายอเล็กซี เมชคอฟ รมช.ต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายกำลังพลของสหรัฐ เป็นปัจจัยบ่อนทำลายความมั่นคงในยุโรป
อุปกรณ์หนักที่กองทัพสหรัฐจะส่งตามมาในชุดหลัง รวมถึงรถถังอบรามส์ 87 คัน และยานบรรทุกทหารกว่า 500 คัน รวมถึงรถฮัมวี่
ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาแอตแลนติก จะเห็นกองพลน้อยยานเกราะพร้อมทหารสหรัฐฯมากกว่า 3,000 นายและยุทโธปกรณ์หนัก เข้าประจำการในโปแลนด์และพันธมิตรนาโต้ที่อยู่ใกล้เคียงอย่าง เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, โรมาเนีย, บัลแกเรียและฮังการี ในรูปแบบของการหมุนเวียน
รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่กำลังพ้นจากตำแหน่ง ออกคำสั่งภารกิจดังกล่าวในปี พ.ศ. 2557 เพื่อสร้างความอุ่นใจแก่พันธมิตรตะวันออก ที่รู้สึกกังวลจากพฤติกรรมของรัสเซียในยูเครน
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าปฏิบัติการนี้มีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ก่อนหน้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของว่าที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ตัวของทรัมป์เอง บ่งชี้ว่าคณะรัฐบาลรีพับลิกันของเขา จะหาทางคลี่คลายความตึงเครียดกับทางด้านรัฐบาลรัส เซีย
บรรดายุทโธปกรณ์ที่ทางด้านกองทัพสหรัฐ นั้นส่งเข้าไป รวมไปถึงรถถังเอบรามส์ 87 คันและจะตามด้วยรถยานเกราะอีกกว่า 500 คัน ในนั้นรวมถึงรถฮัมวี่
ฝากฝั่งรัสเซีย ได้ออกแถลงการณ์ ทันที โดยทางด้าน ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย ก็บอกว่า ปฏิบัติการนี้คุกคามผลประโยชน์และความมั่นคงของเรา นี่มันชัดยิ่งกว่าชัดอีกว่าประเทศที่ 3 เสริมประจำการทางทหารบนบันไดหน้าบ้านของเราในยุโรป
ส่วนทางด้านอเลกเซ เมชคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าการประจำการทหารดังกล่าวเป็นปัจจัยทำลายเสถียรภาพความมั่นคงของยุโรป
เหล่าบรรดาสมาชิกผู้นำนาโต้ยังได้ให้การรับรองแผนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังพลในโปแลนด์และ 3 ประเทศแถบบอลติก เพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะไม่ถูกปล่อยให้เดินแบบเดียวดาย หากว่ารัสเซียพยายามเข้าแทรกแซงเหมือนกับที่ทำในยูเครนเมื่อปี 2557
ทางด้านรัสเซีย ยกระดับประจำการทางทหารในพื้นที่แถบทะเลบอลติกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เครื่องบินของพวกเขาได้ละเมิดน่านฟ้าเหล่าประเทศอดีตสหภาพโซเวียตที่ผันตัวมาเป็นพันธมิตรนาโต้เป็นประจำ อย่างเช่นเอสโตเนีย และพวกเขายังถึงขึ้นบินก่อกวนเรือพิฆาตลำหนึ่งของกองทัพเรือสหรัฐฯเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ทางด้านรัสเซีย ยังได้ ประจำการขีปนาวุธ อีสกันเดอร์ ที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ เข้าประจำการในเขตคาลินินกราด บนคาบสมุทรบอลติก ที่มีชายแดนติดกับทางด้านโปแลนด์ นั่นเอง
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์