ประสานเสียงตรงกัน!!! "สุริยะใส-องอาจ" ชี้ยังไม่ถึงเวลาทำMOUสร้างปรองดองห่วงซ้ำรอยเดิม-ปชช.สับสน (รายละเอียด)

ประสานเสียงตรงกัน!!! "สุริยะใส-องอาจ" ชี้ยังไม่ถึงเวลาทำMOUสร้างปรองดองห่วงซ้ำรอยเดิม-ปชช.สับสน (รายละเอียด)

นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) ระบุว่าเป็นเรื่องดีที่หลายฝ่ายเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนกระบวนการปรองดองที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะทำให้เป็นรูปธรรมภายในปีนี้ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่ก็มีข้อห่วงใหญ่และข้อพิจารณา ที่คสช.ต้องรับฟังอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ที่สำคัญการตั้งโจทย์ต้องไม่ผิด เพราะอาจสร้างปัญหาใหม่ตามมา รวมทั้งการออกมาตรการต่างๆก็ต้องจัดลำดับก่อนหลังให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดความหวาดระแวงและสับสนจนไปต่อไม่ได้

 

นายสุริยะใส  ยังได้ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในข้อเสนอปรองดองที่จะให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองมาทำข้อตกลงหรือ MOU เพื่อนำไปสู่การยุติความขัดแย้งนั้น เป็นมาตรการหนึ่งที่น่าพิจารณา แม้ยังเป็นแค่แนวคิด แต่เร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะการทำข้อตกลงใดๆ ก็ตามต้องผ่านการออกแบบ ต้องมีความชัดเจนทุกฝ่ายยอมรับถึงจะเกิดขึ้นได้

นายสุริยะใส กล่าวอีกว่าโจทย์หลักที่ขอเสนอให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ปยป. ต้องพิจารณาในประเด็นปรองดองนั้น มี 3 ส่วนใหญ่ๆ  ส่วนที่หนึ่งคือ เจ้าภาพ ซึ่งต้องได้คนที่น่าเชื่อถือได้รับการยอมรับที่สูง ประสานทุกฝ่ายได้ไม่ใช่ต้องใช้กฎหมาย ใช้คำสั่งกำกับควบคุมทั้งหมด    ส่วนที่สองคือรูปแบบหรือกระบวนการต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย และต้องมีความต่อเนื่องเพราะเรื่องนี้ทำให้เสร็จภายในปีเดียวไม่ได้แน่นอน     ส่วนที่สามคือเนื้อหา ต้องยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรม แสวงหาข้อเท็จจริงให้มากเพราะบางคดีหรือบางข้อกล่าวหาเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองและเกินจริงเนื้อหาต้องตอบโจทย์ทั้งเฉพาะหน้าและการแก้ปัญหาระยะยาว และต้องไม่ให้สังคมรู้สึกว่าเป็นการฮั้วหรือฟอกผิดใคร โดยเฉพาะคดีทุจริต คดีอาญาร้ายแรงมีหลักฐาน และคดีความผิดมาตรา 112
        

 

ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  แสดงความเห็นต่อการสร้างการความปรองดอง โดยเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.  ยกเป็นวาระแห่งชาติ และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมได้อย่างจริงใจจึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศได้แท้จริง และทำให้บ้านเมืองหลุดจากความแตกแยกขัดแย้งไปได้  ส่วนตัวมองว่าการที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าการปรองดองไม่ใช่เดิมพันของรัฐบาลและคสช. แต่เป็นของคนไทยทุกคน ตนเห็นว่าเป็นเดิมพันอนาคตของประเทศชาติบ้านเมือง หากผู้นำต้องการให้เดินหน้าไปได้เปลี่ยนประเทศไปในทิศทางดีขึ้น นายกฯ ต้องทำเรื่องการปรองดอง เป็นวาระแห่งชาติทำให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนรวมมาทำเรื่องปรองดอง ประเด็นสำคัญคือเชิญชวนทุกภาคส่วนในสังคมไทยมาร่วมกัน
         
ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายนำเสนอให้มีการลงนามเอ็มโอยู หรือนิรโทษกรรมว่า เป็นเพียงวิธีการนำไปสู่การปรองดอง ยังไม่ใช้หลักการและแนวทางที่ถูกต้อง แต่ได้สร้างให้สังคมเกิดความสับสน ในขณะที่คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ยังไม่เริ่มทำงาน จึงควรให้ ป.ย.ป.กำหนดหลักการและแนวทางการทำงานก่อน เมื่อมีข้อสรุปว่าจะใช้แนวทางใด ก็ควรดำเนินการนำไปสู่ปรองดอง แล้วค่อยมาพิจารณาว่าเห็นด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะการเสนอความเห็นจากแม่น้ำ5 สาย ยิ่งทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่ามีการพูดคุยกันมาล่วงหน้าแล้ว หรือคสช.มีธงล่วงหน้าอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การปรองดองเป็นได้ยาก

 

 

เรียบเรียงโดย นาตยา  เอนกธนะเศรษฐ์  สำนักข่าวทีนิวส์