- 05 มี.ค. 2560
รู้จริง... รู้แจ้ง... ทุกเรื่องราวพระอริยสงฆ์ http://panyayan.tnews.co.th
ความสัมพันธ์ทางการทูตแบบหยุดโลก (หลุดกรอบธรรมเนียมเดิมๆ) ของไทยและญี่ปุ่น ที่ในหลวง ร.๙ ทรงพระราชทานไว้ในความทรงจำของคนไทยทุกคน !!!
ท่านทุกคนคงทราบว่าราชวงศ์ไทย–ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ ซึ่งทุกท่านคงพอจะทราบว่าปลานิลมาจากความสัมพันธ์ดังกล่าว แต่น้อยคนทราบว่า ก่อนปลานิลยังมีปลาบู่และเมื่อสองกษัตริย์ชวนไปชมปลา ความสัมพันธ์ทางการทูตแบบที่เป็นความคิดนอกกรอบจนหยุดโลกคือความหมายของเหลือเชื่อ และเกินคาดการณ์ได้ถึงผลลัพธ์ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตามมา จนถึงปัจจุบัน
ติดตามข่าวเพิ่มเติม :๒ พระราชาผู้ทรงรักและเชียวชาญเรื่องปลายิ่งกว่าผู้ใด จักรพรรรดิอะกิฮิโต และ ในหลวงรัชกาลที่ ๙
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ พระองค์สนใจเรียนรู้เรื่องปลา และทรงเป็น “มีนกร” (คำนี้หมายถึงผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลา เด็กประมง ม.เกษตรศาสตร์ เรียกตัวเองว่า “มีนกร” มาแต่ไหนแต่ไร) พระองค์สนใจเรียนรู้เรื่องปลา จนจบการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ ขณะนั้นพระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมาร
ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างสองกษัตริย์ เริ่มจากกษัตริย์ของไทยเสด็จเยือนญี่ปุ่นใน พ.ศ.๒๕๐๖ (๒๗ พฤษภาคม- ๓ มิถุนายน) ก่อนที่ทางประเทศไทยได้เชิญมกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุนเสด็จเยือนประเทศไทย
และเมื่อมกุฎราชกุมารจากญี่ปุ่นเสด็จเยือนไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๗ ในครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และจัดโปรแกรมช่วงหนึ่งให้ “ไปทอดพระเนตรปลา”...หากอ่านผ่านๆ คุณอาจไม่คิดอะไร แต่ถ้าพิจารณาสักนิด มกุฎราชกุมารจากญี่ปุ่น มหาอำนาจแห่งเอเชีย เสด็จมาไทยเป็นครั้งแรก เราจะชวนไปดู “ปลา” ไหมครับ?...เป็นใครก็คงส่ายหน้า เป็นใครก็คงคิดไม่ถึง
เขามาเยือนประเทศเราเป็นครั้งแรก เราก็ต้องจัดประชุมแบบหนักๆ พูดคุยกันเรื่องการบ้านการเมืองเศรษฐกิจ มีงานเลี้ยงใหญ่โต ใครจะคิดถึงโปรแกรม “ไปดูปลา”
...แต่พระมหากษัตริย์ไทยคิด และเป็นความคิดที่ “หลุดกรอบ” มากที่สุดเท่าที่เราท่านยากที่เจอะเจอ คนคิดนอกกรอบ “ตัวจริง” คนรุ่นใหม่มักพูดกันถึงความคิดแปลกใหม่ เราเบื่อการยึดติดแบบเดิมๆ ถึงเวลานอกกรอบ ท่านๆ...เคยทราบไหมครับว่า ใครคือผู้ “นอกกรอบ” ที่แท้จริง และนอกกรอบมาเมื่อกว่า 50 ปีก่อน
คนชอบปลามาเยือน ก็ต้องพาเขาไปดูปลาสิ...เป็นความคิดที่ห้าวหาญจนสุดจะจินตนาการไหว เมื่อคิดว่าทั้งผู้ต้อนรับ และผู้มาเยือนเป็นกษัตริย์...ไม่มีใครทราบว่าพระมหากษัตริย์ของไทยคิดเช่นไร แต่ถ้าให้วิเคราะห์ ก็คงต้องคิดว่าท่านอาจคิดถึงประวัติศาสตร์ เพราะเคยมีคนทำมาก่อนหน้านั้น และทำจนสำเร็จ ย้อนไปเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๓๓ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ตอบรับคำเชิญของรัชกาลที่๕ ถือเป็นครั้งแรกที่ราชวงศ์ชั้นสูงจากประเทศมหาอำนาจในยุโรปเสด็จมาเยือนไทย
ในครั้งนั้นคือการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงการ “คล้องช้างครั้งสุดท้าย” ที่กลายเป็นความประทับใจที่ไม่มีวันลืมของมกุฎราชกุมารผู้ต่อมาทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ซาร์นิโคลัสที่๒ เมื่อสยามเดือดร้อนถึงขีดสุด มหาอำนาจต่างชาติถึงขั้นเตรียมแบ่งประเทศเรา รัชกาลที่๕ จำเป็นต้องเสด็จยุโรปเพื่อแสดงว่าเราเจริญแล้วมิใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน ประเทศเดียวที่ต้อนรับเราด้วยไมตรีจิตคือรัสเซีย เมื่อภาพคิงจุฬาลงกรณ์ประทับคู่ซาร์นิโคลัสที่๒ ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ยุโรป ประเทศอื่นถึงยอมรับ และต้อนรับพระองค์ จนทำให้ไทยยังคงเป็นไทยจนทุกวันนี้ และนั่นคือการทูตหยุดโลกที่เริ่มต้นจาก “ช้าง”
ติดตามข่าวเพิ่มเติม :อาหารที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่ทรงโปรดมาก จนถึงกับโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปจากโต๊ะเครื่องเสวยทุกครั้ง!!!
การทูตหยุดโลกเริ่มต้นอีกครั้ง จาก “ปลา” ที่กษัตริย์แห่งไทย พามกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นไปทอดพระเนตร...สถานที่คือ พิพิธภัณฑ์ประมง ตั้งอยู่ในคณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ จากปลาบู่ ถึง ปลานิล มีความสำคัญมี๒ ประการ
๑).ปลาบู่ชนิดนี้มีชื่อว่า “ปลาบู่มหิดล” ตั้งชื่อเพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
๒). ปลาบู่ชนิดนี้ค้นพบ และตั้งชื่อโดย ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ ในสายของนักอนุกรมวิธาน การที่จะมีชื่อใครสักคนเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของสัตว์ชนิดหนึ่ง เป็นเกียรติสุดๆ และชื่อนั้นถูกบันทึกไว้ใน พ.ศ.๒๔๙๖ นานแสนนานในครั้งที่โลกเรายังไม่ก้าวหน้าเช่นทุกวันนี้ การตั้งชื่อสัตว์ต้องมีที่มาที่ไป ในครั้งนั้น ดร.สมิธถวายชื่อให้เพราะพระบรมราชชนกทรงช่วยกิจการประมงไทยให้ตั้งต้นได้ รวมถึงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ ส่งคนไปเรียนเมืองนอกในสาขาวิชาด้านนี้ ก่อนกลับมาเป็นบรมครูสอนพวกเรารุ่นต่อมา
ดร.สมิธ ผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกา รัชกาลที่๖ ขอตัวมาเมื่อจัดตั้ง “กรมรักษาสัตว์น้ำ” เพื่อเป็นเจ้ากรมคนแรก เพราะคนไทยยังไม่มีความรู้ทางนี้เลย...ดร.สมิธถือเป็น “ระดับเทพ” แห่งวงการมีนวิทยาในยุคนั้น ใครศึกษาเรื่องปลา ล้วนต้องรู้จักท่าน จึงไม่น่าแปลกใจที่มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นทรงหยิบขวดนี้ขึ้นมาดู พร้อมอุทานว่า “นี่เป็นปลาที่ ดร.สมิธเก็บหรือ?” (มีบันทึกอ้างอิง มิใช่คิดเอาเองครับ) และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความประทับใจสุดๆ จนกลายเป็นความสนิทสนมเป็นการส่วนพระองค์
เมื่อได้ใจ “คนรักปลา” ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๐๘ พระองค์จึงขอพระราชทาน “ปลานิล” จากมกุฎราชกุมารญี่ปุ่น เพราะ พระองค์ทรงเล็งเห็นอยู่แล้ว คนไทยต้องการโปรตีนเพื่อพัฒนาร่างกาย พัฒนาสมอง แต่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อื่นใดล้วนมีราคาแพงเกินกว่าที่ชาวบ้านสามัญชนจะหากินได้ทุกวี่วัน มีแต่ปลาเท่านั้น ที่ชาวบ้านจับได้กินได้ เพราะคนไทยกินปลามาแต่โบราณ เพียงแต่ขาดปลาที่เลี้ยงง่ายโตไวอยู่ได้ในทุกแหล่งน้ำ และไม่รบกวนระบบนิเวศเกินไป...ปลานิลอ้วน เนื้อเยอะ และอร่อย ปลานิลที่มีถิ่นกำเนิดจากลุ่มแม่น้ำไนล์ จึงเป็นปลาที่น่าจะเหมาะสมที่สุด.
ขอเอ่ยบอกวันที่สักนิด มกุฎราชกุมารถวายปลานิล๕๐ ตัวในวันที่๒๕ มีนาคม๒๕๐๘ พระองค์มีปลาเหลือ๑๐ ตัว เลี้ยงและขยายพันธุ์ พระราชทานให้กรมประมง ๑๐,๐๐๐ ตัว ในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๐๙ ...ในเวลาไม่ถึง ๑ ปี ปลา ๑๐ ตัวกลายเป็น ๑๐,๐๐๐ ตัว (ยังไม่รวมที่พระองค์เก็บไว้) ก็ไม่ทราบจะอธิบายเช่นไร? มีอิทธิฤทธิ์ บุญบารมี? แต่มีคำบอกเล่าว่าพระองค์ไม่ทรงเสวยปลานิลด้วยเหตุผลง่ายๆ“เลี้ยงมาเหมือนลูก จะไปกินลงไปได้อย่างไร” (ถ้อยคำจากคำบอกเล่า)...บุญบารมีคงมีจุดเริ่มมาจาก “เลี้ยงมาเหมือนลูก” ทรงทุ่มเทฟูมฟัก เหมือนเศรษฐีดูแลเอาใจใส่ปลาราคาแพง เพื่อเลี้ยงไว้ประดับบารมี เผอิญพระองค์ฟูมฟักปลานิล ไม่ใช่เพราะสวยดีประดับบารมีได้ แต่เพราะปลานิล คือปลาที่พระองค์ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นทางออกให้ประชาชนชาวไทย
ที่มา : www.facebook.com/thon.thamrongnawasawat
ข่าวโดย : กิตติ ทีนิวส์ / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์