- 08 ก.พ. 2560
ดีกว่ากว่าเดินหน้าตกคลอง!!! "อำนวย"เมินเสียงค้านเลิก"บีอาร์ที" ขณะชาวเน็ตแนะขึ้นค่าโดยสาร (รายละเอียด)
หลังจากที่ กทม.ประกาศยกเลิกโครงการรถด่วนพิเศษ "บีอาร์ที" หลังหมดสัญญา วันที่ 30 เมษายน นี้ เนื่องจากขาดทุนปีละ 200 ล้านบาท และยังไม่สามารถแก้ปัญหาจราจรได้ ขณะที่ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นริเริ่มโครงการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นคัดค้านการยกเลิก
พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า กทม. ขาดทุนสะสมมาถึง 7 ปี สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทำหนังสือทักท้วงมาแล้วถึง 2 ครั้ง และล่าสุดยังมีหนังสือให้กทม.ทบทวน และยุติโครงการ ซึ่งหากกทม.ต้องการต่อสัญญาต้องใช้งบประมาณ 270 ล้าน ยิ่งทำให้กทม.จะต้องขาดทุนสะสมมากขึ้นอีก อีกทั้งโครงการนี้ ยังไปแย่งผิวการจราจรของส่วนรวมอีกด้วย โดยผู้ใช้บริการ บีอาร์ที มีผู้ใช้เฉลี่ยวันละ 20,000 คน ขณะที่ถนนสาทร ช่องนนทรี มีผู้สัญจรวันละกว่า 100,000 คน ทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้น แต่เมื่อยกเลิกโครงการแล้ว กทม.จะประสานกับ ขสมก.ให้วิ่งรถประจำทางโดยใช้สถานีบีอาร์ที เป็นป้ายประจำทาง ทำช่องข้าม ทำให้ประหยัดงบได้ปีละ 300 ล้านบาท ดังนั้นผู้ที่ออกมาว่า ถ้ากทม.ยกเลิกโครงการนี้ เท่ากับเป็นการถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วไปยืนบนฝั่งคลอง ดีกว่าเดินหน้าต่อไปแล้วตกคลอง
พล.ต.ท.อำนวย ยังยืนยันว่า "การให้บริการโครงการบีอาร์ทีตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.เป็นต้นไป คงไม่มีการทบทวน หรือพิจารณาแนวทางเปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาสัปทาน หากใครต้องการจะเดินหน้าโครงการนี้ คงต้องรอเปลี่ยนคณะผู้บริหาร ซึ่งหลังจากนี้หาก กทม.จะดำเนินการก่อสร้างโครงการใดๆ ก็แล้วแต่ หากต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษาแล้วผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามผลการศึกษา บริษัทนั้นต้องรับผิดชอบด้วย"
(คลิกอ่าน:"คิดดีแล้วหรือ"??? "สามารถ" เสียดายกทม.เลิก "บีอาร์ที" วอนทบทวน"อย่าถอยหลังลงคลอง")
มติกทม. ''ยกเลิก'' บีอาร์ที หลังขาดทุนยับปีละ 200 ล้าน
เปิดเลนให้รถยนต์เหมือนเดิม!!!
หากยกเลิกบีอาร์ที สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ
1. รถติดมากขึ้นแน่นอน เพราะผู้ใช้บริการบีอาร์ทีต่อวัน มีจำนวนเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 คน
2. เส้นทางดังกล่าวแทบจะไม่มีรถโดยสารประจำทางอื่นๆ วิ่งให้บริการ
(มีเพียงรถเมล์ 2 สาย ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกัน) หมายความว่า 20,000 คน ในข้อ 1. ต้องหันไปใช้รถแท็กซี่หรือขับรถออกมาทำงานแทน ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ รถบนถนนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาอีกราว 20,000 คัน!!! ต่อวัน
3. กลุ่มคนที่เคยใช้บริการทุกวันเพราะไม่มีรถยนต์ส่วนตัว มีปัญหาในการเดินทาง
ค่าบริการแสนถูกเป็นเหตุให้ขาดทุน!
1. ขาดทุนเพราะค่าโดยสารถูก วิธีแก้ปัญหาคือปรับขึ้นค่าโดยสาร ไม่ใช่ยกเลิกการให้บริการ!
2. อัตราค่าโดยสารที่น่าจะเหมาะสม (ให้ผู้มีอำนาจลองนำไปพิจารณา) เมื่อเทียบกับรถโดยสารปกติ คือ
- 10 บาท (1-3 สถานี) 15 บาท (4-6 สถานี) 20 บาท (7-9 สถานี) 25 บาท (10-12 สถานี) สำหรับบุคคลทั่วไป
- 10 บาท สำหรับนิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรีอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ และผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ทุกสัญชาติ) รวมถึงข้าราชการ ลูกจ้าง และข้าราชการบำนาญของกรุงเทพมหานคร
- 5 บาท สำหรับเด็กเรียนในเครื่องแบบ
- ยกเว้นค่าบริการสำหรับผู้พิการและภิกษุุสามเณร
3. ค่าบริการตามที่เสนอในข้อ 2. อาจดูก้าวกระโดดและไม่ได้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันนัก แต่เมื่อเทียบกับการต้องโดยสารรถแท็กซี่หรือต้องขับรถส่วนตัวออกมาในเส้นทางดังกล่าวเนื่องจาก ''ไม่มีทางเลือกอื่น'' ของผู้โดยสารที่ใช้บีอาร์ทีเป็นประจำ คิดว่าเป็นอัตราที่ยังรับได้และไม่กระทบเงินในกระเป๋ามากจนเกินไป (เพราะอัตราเฉลี่ยเทียบเท่ากับรถเมล์)
หากเปลี่ยนแปลงสำเร็จ
- บีอาร์ทีจะให้บริการต่อไป ในเส้นทางที่แทบจะไม่มีขนส่งมวลชนใดๆ ให้บริการ
- ผู้ใช้บริการสามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีกว่าใช้รถส่วนตัวในช่วงเวลาเร่งด่วน!!!
- ไม่ต้องมีรถยนต์บนถนนเพิ่มอีกอย่างน้อย 20,000 คันต่อวัน
การแก้ปัญหารถติดที่ยั่งยืน คือ การสร้างทัศนคติที่ดีต่อการใช้บริการขนส่งมวลชนทุกชนิด
ซึ่งในส่วนของผู้ให้บริการขนส่งมวลชนเองต้องปรับปรุงคุณภาพอยู่เสมอ ค่าบริการจะไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจเลย หากมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพราะทุกวันนี้การใช้รถส่วนตัวก็มีค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษาไม่น้อย หากมีทางเลือกที่ดี การใช้งานรถยนต์ส่วนตัวก็จะลดลง ปัญหารถติดที่กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วก็อาจจะหายไป...
(คลิกอ่าน:กัดฟันมาได้ตั้งนาน!!! กทม.เลิกอุ้ม "บีอาร์ที"เจ๊งยับ 200 ล้าน/ปี แก้จราจรไม่ได้ )
รายงานโดย นาตยา เอนกธนะเศรษฐ์ สำนักข่าวทีนิวส์
ข้อมูล เว็บไซต์ Change.org






