www.tnews.co.th

“พระอาจารย์อารยวังโส เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย” จ.ลำพูน ซึ่งได้รับนิมนต์เฉพาะจงจากวัฒนธรรมอินเดีย ทั้งนี้เพราะพระอาจารย์อารยวังโส ได้รับการยอมรับนับถือ ให้เป็น “คุรุ” หรือ”กูรู จี” ของชาวฮินดูและชาวพุทธ ในประเทศอินเดีย 

ได้เมตตาเล่าเรื่องนิมิตของท่าน ผ่านทาง เพจเฟซบุ๊ก Most Venerable Arayawangso (พระอาจารย์อารยวังโส)  ดังนี้ 

 

 

...ครั้งหนึ่ง มีสุบินนิมิตเกิดขึ้นว่า เราได้ไปที่กุฏิสมเด็จพระวันรัตน์ (จับ ฐิตธัมโม) วัดโสมนัสราชวรวิหาร ในขณะนั้น สมเด็จท่านละสังขารแล้ว และได้เข้าไปในห้องนอนของท่านบนกุฏิ..ที่เราเคยไปกราบท่านสมัยมีชีวิตอยู่......ปรากฏว่า เราได้พบกระดาษแผ่นขาวมีข้อความเขียนด้วยลายมือของสมเด็จฯ..คล้ายๆหนังสือพินัยกรรม..เป็นคำพยากรณ์ของสมเด็จฯที่เขียนบันทึกเป็นมรดกธรรมไว้ว่า... "ในเบื้องหน้าจะมีบุรุษผู้มาจากทะเล มาทำหน้าที่สืบอายุพระพุทธศาสนา .....ต่อไปจะแสดงธรรมเทศนาโปรดมหาชน ไปทั่ว... และจะมีหมู่ชนมาฟังธรรมกันเป็นหมื่นเป็นแสน...จากทั่วทุกสารทิศ ...พระพุทธศาสนาจะสืบอายุต่อไป..ในท้ายคำทำนายเขียนว่า...สำหรับบุคคลดังกล่าวนั้น ก็คือ เรานั่นเอง..คือ พระอาจารย์อารยวังโส ใน ณ ปัจจุบัน ..."
ขณะที่ได้ทราบรายละเอียดจากพินัยกรรมพยากรณ์ธรรมขงสมเด็จ....ให้นึกพิจารณาในใจว่า.... แค่คนมาฟังธรรม 100-200 คนก็มากแล้วอย่าว่าแต่เป็นพันคน ....หมื่นคนเลย... และเราก็ไม่เคยเห็นศาลาวัดไหนที่รองรับคนมาฟังธรรมเป็นพันๆ คน จึงไม่ต้องกล่าวถึงหลักหมื่นแสนเลย ... แค่เพียงหลักร้อยก็ว่ายากแล้ว อย่าว่าแต่หลักพัน หลักหมื่น หลักแสน ตามนิมิตเลยดังนั้น... ยิ่งบอกเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน ... ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย..... แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนิมิตธรรม เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น นอกเหตุเหนือผล....ซึ่งเป็นเรื่องของ...ธรรมานุภาพ!

... ปรากฏว่า เมื่อถึงวันนี้ ..เรื่องราวต่างๆได้แสดงความจริงให้ปรากฏรับรองนิมิตธรรมตามพินัยกรรม พยากรณ์ ของสมเด็จฯอย่างเต็มรูป... ดังเหตุการณ์การปาฐกถาธรรมที่ดิกซภูมีที่เราได้รับนิมนต์ไปเนื่องในวันครบรอบวันเปลี่ยนศาสนา...นครนาคปุระ รัฐมหาราษฏร์ อินเดีย..ซึ่งมีคนเป็นเรือนล้านมาร่วมงาน และได้ฟังเราปาฐกถาธรรม....จึงไม่ต้องกล่าวถึงที่อื่นใดๆ ที่มีคนมากมายจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน.........ของในแต่ละพื้นที่ .. ที่มาร่วมงานกันเป็นจำนวนไม่น้อยในหลายครั้งหลายครา....ดังการเข้าร่วมประชุมนานาชาติ ของผู้แทนที่มาจากทั่วโลกฟัง อย่างเช่น การประชุมงาน Buddhism in the 21st century ก็ล้วนแล้วแต่ถือว่ามีคนเป็นจำนวนมากมาย ... เพราะนั่นเป็นผู้แทนของแต่ละประเทศที่ไป ... และสืบสานไปทั่ว ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ... ไปเป็นตัวแทนการประชุมระดับนานาชาติ แม้กระทั่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4-5-6 สิงหาคม ... การประชุม "SAMVAD" ที่พม่าครั้งนี้ ก็เป็น master spiritual เป็นผู้นำจิตวิญญาณ หนึ่งในที่สำคัญที่ได้รับการเชิญไปเพื่อร่วมในการที่จะให้ความคิดความเห็นในการนำโลกไปสู่คำว่า Peace คำว่า Harmony และ Security ... นี่เป็นเรื่องสำคัญ

วันนี้มันเป็นการตอบโจทย์ตอบคำถามว่า ... นี่คือ ความจริงจากนิมิต ซึ่งเกิดขึ้นในห้องของสมเด็จพระวันรัตน์ (จับ ฐิตธัมโม) วัดโสมนัสราชวรวิหาร ... จึงขอบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ...

เรื่องนี้ เป็นนิมิตพินัยกรรม มาจากห้องของสมเด็จฯ และหลายครั้งเมื่อหลวงพ่อไปวัดโสมนัสฯ จะไปที่กุฏิเก่าท่าน และไปยืนไหว้ ... ท่านเป็นสมเด็จที่สมถะ เรียบง่าย ไม่มีอะไรเลยในกุฏิ หลวงพ่อไป ที่นั่งเป็นกระดานธรรมดา ไม่มีของอะไรเลย ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ในห้อง นอกชานต่างๆ

หลวงพ่อ เคยไปกราบท่าน ท่านฉันข้าวเสร็จ ... หลวงพ่อเข้าไปถวายของท่าน เอาน้ำผึ้งไปถวาย ไม่มีคนมาเฝ้าท่าน แบบที่เราเห็นพระผู้ใหญ่ พระเถราจารย์ พระชั้นเจ้าคุณ รองสมเด็จ เจ้าคุณทั้งหลาย พระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ... ท่านไม่มีอะไรเลย ท่านไม่มีใครเฝ้า หลวงพ่อขึ้นไปกราบท่าน กราบท่านเสร็จเรียบร้อยก็ถวายน้ำผึ้ง ท่านบอกว่า ... "รับได้ยังไง" เสียงตะคอก "รับก็ไม่ต้องฉันสิ เอามาไว้ตรงนี้" ... คือท่านให้วางไว้ แล้วก็ยิ้ม มองด้วยสายตาเมตตาและยิ้ม ... หลวงพ่อก็ไม่ได้สะดุ้ง เพราะหลวงพ่อมีความรู้สึกว่า ... เสียงที่ดุนั้น กับจิตที่แสดงคนละเรื่องกัน ... เสียงที่ดุ ดุเพื่อให้เรารู้เข้าใจ ด้วยจิตที่เมตตา คือ การสั่งสอนอยากให้เรานั้นได้ทำสิ่งที่ควร ท่านจะได้ฉัน เพื่อไม่เสียของ ...

เสียงที่ดุ กับ จิตที่มีเมตตา มีความอ่อนโยน มันอาจจะตรงข้ามกัน แต่ว่าในความเป็นจริงที่เราสัมผัส มันเป็นการสั่งสอนที่เยือกเย็น ... หลวงพ่อจึงได้อะไรดีๆจากพระผู้ใหญ่ ... ที่ถือว่าเป็นแบบฉบับ เป็นปูชนียบุคคลในพระศาสนา ... ซึ่งปัจจุบันเราหาพระเถราจารย์ มหาเถระ ได้ยากแล้ว ...

ดังเช่นเมื่อเช้า ได้บิณฑบาต ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ... ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความปีติยินดี ตอนที่กราบลาท่าน ท่านก็ยืนรับไหว้ เหมือนท่านให้ความรู้สึกเมตตา ...

กราบลาท่านตรงบันได ... ไหว้ท่านเสร็จ บอกผมขอกราบลาท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านลงนั่งกับขั้นบันไดที่เดินไปเดินมา นั่งใกล้ๆกับสุนัขที่ท่านเลี้ยง ... ท่านลงนั่งกลางบันได เหมือนคนโดยทั่วไป ... จึงต้องทรุดตัวลงกราบท่านตรงตีนบันไดตรงนั้น กราบท่าน ... ท่านก็ให้กราบด้วยความเมตตา ... ภาพนี้ได้เห็นปฏิปทาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้วางตัวอย่างเหมาะสม ไม่ได้ถือตนถือตัว ... อันทำให้เราพระเล็กเณรน้อยทั้งหลายมีความยินดี มีความอิ่มใจ มีกำลังใจที่ช่วยกันขวนขวายสืบอายุพระพุทธศาสนาสืบต่อไป ...

ถ้าองค์กรสังคมพระพุทธศาสนา มีพระมหาเถระ พระเถระ อย่างนี้ๆอยู่ องค์กรพระพุทธศาสนาของประเทศไทยจะไม่สูญ ... องค์กรพระพุทธศาสนาจะทำหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน ... ถ้าคณะสงฆ์ ไม่ว่าในประเทศใด ยังมีมหาเถระที่มีเมตตาธรรม มีความรู้ความเข้าใจ มีเมตตาธรรมกับพระผู้น้อย ... มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมที่ถูกต้อง ... และมีจิตที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ต่อพระ ต่อหมู่ชน หมู่ศาสนิกชนทั้งหลาย ทำหน้าที่อย่างอุทิศชีวิต อย่างที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ต่างๆ ท่านได้กระทำมา ...

หลวงพ่อว่า ... นี่คือ ความชื่นใจในชีวิต ทำให้เรามีความรู้สึกว่ามีกำลังใจที่จะทำงานสืบพระศาสนาอย่างเต็มกำลังต่อไป ... จึงฝากคำพูดนี้ไว้ เพื่อให้ศรัทธาทั้งหลายได้อนุโมทนา ...

15 มิถุนายน 2560
อารยวังโส

นับว่าเป็นไปตามนิมิตทุกอย่าง เพราะมาวันนี้พระอาจารย์อารยวังโส ท่านมีบทบาทในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวพุทธที่จะต้องช่วยกันระดมความคิดในการหาแนวทางที่จะประยุกต์พุทธศาสนาเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลก ซึ่งเมื่อ   16 – 19 มีนาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดีย ได้จัดการประชุม “พุทธศาสนา ในศตวรรษที่21” พร้อมเชิญท่านไปร่วมประชุมด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ท่านคือผู้ที่กระทรวงวัฒนธรรมของอินเดียนิมนต์ให้เข้าร่วมประชุมเป็นการเฉพาะในฐานะ “บุคคลที่ชาวพุทธในอินเดียเคารพนับถือ” เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพุทธศาสนาในประเทศอินเดียอย่างแข็งขัน ถึงขนาดได้รับการยกย่องว่าเป็น “Guruji” (กูรูยี) หรือ “ผู้ที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธศาสนาลงบนแผ่นดินอินเดีย” เลยทีเดียว

 

อ่าน : พระไทยที่คนอินเดียรอคอย!! "พระอาจารย์อารยะวังโส" ผู้พลิกฟื้น "ศาสนาพุทธ" ให้กลับคืนสู่อินเดีย...ตามคำพยากรณ์!!

ข้ามพ้นกรอบศาสนา!! พระอาจารย์อารยวังโส ภิกษุไทยผู้ถูกยกให้เป็น "กูรูจี" ของชาวอินเดีย.."เพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละคือพุทธศาสนา!"