- 27 ก.ค. 2560
เปิดแฟ้มคดีโกง!! สาเหตุที่ "ทักษิณ" คงไม่ได้กลับแผ่นดินเกิด ตลอดชีวิต!
ออกจะเงียบเหงาสักหน่อยสำหรับวันคล้ายวันเกิดปีนี้ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายใหญ่ แห่งพรรค"เพื่อไทย" ที่ไม่มีแม้แต่เสียงเพลงจากน้องสาวอย่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่คาดว่าขณะนี้คงอาจจะกำลังอยู่ในภาวะเครียด จากสภานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ จะมีก็เพียงแต่โพสต์เงียบๆ อวยพรขอให้มีให้พี่ชายอันเป็นที่รักมีความสุขกับวัยที่ก้าวล่วงมาถึง 68 ปี แต่กลับต้องร่อนเร่จากบ้าน พเนจรอยู่ต่างแดนกว่า8ปี10เดือน และคาดว่าคงไม่ได้กลับไทยอีกตลอดชีวิต
นายทักษิณ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 เมื่อ 2523 ได้เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง ควบคู่ไปกับการรับราชการตำรวจ เช่น ค้าขายผ้าไหม ซื้อภาพยนตร์ฉาย กิจการโรงภาพยนตร์ ธุรกิจคอนโดมิเนียม แต่ประสบความล้มเหลว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว จากนั้นได้ลาออกจากราชการ
และในปี 2526 นายทักษิณ ได้ก่อตั้ง และเป็น ประธานกรรมการ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด (ชื่อเดิม ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซีเอสไอ (ICSI) ปัจจุบันได้เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจ ให้เช่าคอมพิวเตอร์ แก่สำนักงานต่างๆ และได้ขยายกิจการไปสู่ การให้บริการ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียม และ โทรคมนาคม ครบวงจร นำไปสู่การชำระหนี้สินในช่วงแรกของการทำธุรกิจ และประสบผลสำเร็จทางธุรกิจในที่สุด
ต่อมาปี 2537 ได้ลาออกจาก บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ เข้าสู่ เส้นทางการเมือง ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัย รัฐบาล นายชวน หลีกภัย และปี2538 ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ต่อจาก จำลอง ศรีเมือง และรองนายกรัฐมนตรี ในสมัย รัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา ในปี พ.ศ. 2539 ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในสมัย รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ ในปี พ.ศ. 2541 หลังจาก รัฐบาลชุด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หลังจากนั้นไม่นาน นายทักษิณ ก็ได้ก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย และ ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรค เป็น นายกรัฐมนตรี ใน วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544
เทอมแรกของการเป็นนายกฯ นายทักษิณสามารถครองใจประชาชนได้ เป็นจำนวนมาก เพราะออกนโยบายแปลกๆใหม่ๆ อาทิ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน แปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน พักหนี้เกษตรกร ฯลฯ ต่อมาหลังชนะการเลือกตั้งรอบ 2 กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง มีพฤติกรรมเหลิงอำนาจ ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นเผด็จการรัฐสภา และเริ่มพบพฤติกรรมทุจริต คอรับชั่น เอื้อประโยชน์ในกับพวกพรรค ตระกูลของตัวเอง จนนำมาสู่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯและการรัฐประหารในที่สุดในวันที่19 กันยายน 2549 ซึ่งขณะนั้นนายทักษิณ ได้ร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก แต่ระหว่างนั้นตอนคปค.ยึดอำนาจ ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ตรวจสอบการทุจริต ส่งเรื่องให้กับทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาเพื่อจะยื่นฟ้อง
ต่อมาได้เกิดการตั้งปรากฏว่า พรรคพลังประชาชนเป็นฝ่ายชนะ นายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้น 28 กุมภาพันธ์ 2551 นายทักษิณได้โอกาสเดินทางกลับไทย จึงเกิดภาพประวัติศาสตร์ที่ยากจะลืม นายทักษิณได้ก้มลงจูบแผ่นดินทันทีเมื่อเห็นคณะสื่อมวลชนที่เฝ้าสังเกตการณ์ โดยระหว่างการกลับมาของนายทักษิณศาลก็ดำเนินการไปในคดีที่คตส.เดินเรื่องไว้มากมาย ต่อมานายทักษิณได้วางแผนหลบหนีออกนอกประเทศ โดยขออนุญาตเดินทางไปจีนซึ่งอ้างว่า "ได้รับเชิญไปร่วมพิธีเปิดแข่งขันกีฬาโอลิมปิก" เมื่อ 8 สิงหาคม 51 จากนั้น นายทักษิณก็ไม่เคยหวนกลับคืนสู่ประเทศอีกเลย ต่อไม่นานนักเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ศาลฎีกาฯได้พิพากษาให้นายทักษิณมีความผิด ให้ลงโทษจำคุกสองปี
อย่างไรก็ตามทางป.ป.ช. ก็ได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินรวม 12 ฉบับ เป็นเงินกว่า 7.6 หมื่นล้าน จากความผิดออกมาตรการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป โดยหน่วยงานในอำนาจนายกฯ 5 กรณีและเป็นผลให้ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายึดทรัพย์จากบัญชีเงินฝาก "ทักษิณ-พจมาน-พานทองแท้-พินทองทา" รวมถึงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เป็นเงินรวม 46,373,687,454.70 บาท ตามคำสั่ง คตส. 3 ฉบับ จากบัญชีเงินฝาก 32 บัญชี ทำให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปเมื่อปี 2553 เหลือ 30,247,915,606 บาท
และถึงแม้ว่าจะถูกยึดทรัพย์ไปกว่า 4.6 หมื่นล้าน แต่การจัดอันดับของนิตยสารฟอร์สเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ยังระบุว่า "ทักษิณ" มีทรัพย์สิน 1,700 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทย 57,800,000,000 บาท ทำให้ทักษิณเป็นเศรษฐีที่รวยติดอันดับ 10 ในประเทศไทย และรวยอันดับที่ 1,234 ของโลก แต่สิ่งที่นายทักษิณไม่มีคือโอกาสที่จะกลับมายังประเทศไทยอีก
เพราะว่าถ้าหากกลับไทยเมื่อไหร่ นายทักษิณก็ต้องติดคุกทันที เพราะศาลได้พิพากษาคดีไว้แล้ว เพราะฉะนั้นทักษิณจึงไม่ยอมกลับ และพยายามที่จะไม่ติดคุกด้วย ถึงขนาดปลุกเร้าจัดตั้ง นปช.จึงก่อเหตุวุ่นวายบานปลาย บาดเจ็บล้มตายในปี53
แต่ก็ดูเหมือนว่าขณะนี้คำว่าเวรกรรมนั้นหนีไม่พ้นก็อาจจะจริง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ สนช.ลงมติเอกฉันท์ 176 เสียง ผ่านฉลุย ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้รับการประกาศใช้เป็นกฎหมาย หลักการสำคัญคือ ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาไต่สวนคดีลับหลังจำเลย
เรียกได้ว่า“นักโกงเมือง” ตายสถานเดียว หนีคดีเมื่อไร หยุดนับอายุความทันที โดยเฉพาะกับนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหลบหนีคดี ที่จะสามารถรื้อออกมาทำคดีใหม่ได้ งานนี้ถ้าหากจะหนีก็คงต้องหนีไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ
จนถึงวันนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า นายทักษิณต่อให้มีเงินทองมากมายมหาศาลเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถหาความสุขที่แท้จริงได้ ยังวนเวียนวายในวัฏสงสาร อยากต่อการจะหลุดพ้น มีทางเดียวที่อยากจะแนะคือ ถ้ามั่นในแน่วแน่ ว่าตนไม่ผิด และถูกกลั่นแกล้งรังแกอย่างที่พูด ก็รีบกลับมาสู้คดี จะดีกว่า

