หวนรำลึกถึงพระสุรเสียง"พระราชินีสิริกิติ์"เมื่อครั้นเสด็จเยี่ยมราษฎร นับเป็นพระเมตตาและทรงเปี่ยมไปด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น

หวนรำลึกถึงพระสุรเสียง"พระราชินีสิริกิติ์"เมื่อครั้นเสด็จเยี่ยมราษฎร นับเป็นพระเมตตาและทรงเปี่ยมไปด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น

ด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วทุกหัวระแหงมายาวนานกว่าหลายทศวรรษ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ไม่เพียงทรงเป็นพระคู่ขวัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น หากแต่ยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจนานับประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชภารกิจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิต กิจการด้านสาธารณสุข โดยทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย ด้วยมีพระราชประสงค์ให้บุคคลผู้ยากไร้ และประชาชนในชนบทที่ห่างไกลมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาโดยตลอด แม้กระทั่งบรรดาเพื่อนบ้านที่ต้องลี้ภัยอพยพเข้ามายังแผ่นดินไทยก็ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เช่นเดียวกันโดยไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนา

หวนรำลึกถึงพระสุรเสียง\"พระราชินีสิริกิติ์\"เมื่อครั้นเสด็จเยี่ยมราษฎร นับเป็นพระเมตตาและทรงเปี่ยมไปด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น

ดังจะเห็นได้จากเมื่อประมาณปี พ.ศ.2518 สมัยที่เขมรแดงทำสงครามเข้ายึดประเทศกัมพูชา ระหว่างนั้นเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรมที่วังไกลกังวล พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

เลขาธิการสภากาชาดไทยขณะนั้น ได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบว่าสภากาชาดไทยได้รับรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดตราดว่ามีชาวกัมพูชาที่หลบหนีภัยสงครามในประเทศของเขาเรือนหมื่นเรือนแสนคน ข้ามภูเขาเข้ามาหลบภัยในประเทศไทยบริเวณชายฝั่งทะเล แต่ละคนมาด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรย อดอยาก และเจ็บป่วย เมื่อทรงทราบถึงความเดือดร้อนของชาวกัมพูชาเหล่านั้น วันรุ่งขึ้นจึงเสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง แม้บริเวณที่ชาวกัมพูชาลี้ภัยมาจะสกปรกไปด้วยปัสสาวะและอุจจาระที่ส่งกลิ่นเหม็นฉุน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มิได้ทรงรังเกียจ กลับทรงพระดำเนินทอดพระเนตรชาวกัมพูชาด้วยทรงต้องการทราบถึงความทุกข์ยากของพวกเขาอย่างใส่พระราชหฤทัย ทั้งยังมีพระราชกระแสรับสั่งให้นางสนองพระโอษฐ์กลุ่มหนึ่งคอยเป็นธุระจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นที่หาได้ใน จ.ตราด เพื่อทุเลาความยากลำบากในเบื้องต้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดทำธงกาชาดพื้นขาวกากบาทสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์กาชาด นำมาติดไว้บริเวณหลังคาโรงเรือน เพื่อใช้เป็นอาคารอำนวยการกาชาดไทย ซึ่งธงกาชาดผืนนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลงานจากฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกด้วย

ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่ว่าจังหวัดใด จะมีพระราชกระแสรับสั่งให้หน่วยแพทย์อาสาตามเสด็จไปด้วยทุกครั้ง เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรที่เจ็บป่วยทั่วทุกแห่งหนภายใต้หลักมนุษยธรรม โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ชนชั้น และวรรณะของบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก ครั้งหนึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรภาคใต้ มีราษฎรคนหนึ่งไม่สบายด้วยโรคเรื้อนจนตาไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะเดินทางมาหาหน่วยแพทย์อาสาและเฝ้ารอรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ระหว่างที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรผู้ป่วยและมีพระราชปฏิสันถารกับผู้ป่วยคนอื่นๆ อยู่นั้น ผู้ป่วยโรคเรื้อนได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ จึงพูดออกไปว่า "ประไหมสุหรี ขอจับมือหน่อย" แม้จะมีคำกราบบังคมทูลไม่ประสงค์ให้พระองค์เข้าใกล้และสั่งห้ามชายคนนั้นเข้าใกล้พระองค์ท่านอย่างต่อเนื่อง แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงยื่นพระหัตถ์ไปให้ผู้ป่วยโรคเรื้อนจับอย่างไม่ทรงรังเกียจและไม่ถือพระองค์แม้แต่น้อย

แม้หลายคนจะมองว่าตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นั้นโรยด้วยกลีบกุหลาบไม่มีอุปสรรคใดๆ ให้ระคายเคืองพระราชหฤทัย แต่แท้จริงแล้วภายใต้เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเหล่านั้น กลับเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ที่เปรียบเสมือนความทุกข์ของราษฎรไทยคอยทิ่มแทงตลอดเวลา ทรงรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนแล้วทรงนำมาบำบัดให้เป็นความสุขอย่างไม่รู้สึกย่อท้อ นับเป็นพระเมตตาและน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น ที่พระราชทานแก่ประชาชนของพระองค์และประชาชนประเทศเพื่อนบ้านอย่างหาที่สุดมิได้

อีกครั้งที่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ไปทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดทางภาคใต้ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานโล่เกียรติคุณแก่บุคคลที่เข้าเฝ้าฯอยู่นั้น ได้เกิดระเบิดอย่างแรงและเสียงดังมากขึ้นหน้าพลับพลาที่ประทับ ประชาชนที่มารอเฝ้ารับเสด็จต่างวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน แต่เมื่อทุกคนนึกขึ้นได้ว่าในหลวงและพระราชินีของพวกเขาจะเสด็จฯ ไปทางไหนจึงหันกลับมามองที่พลับพลาที่ประทับอีกครั้ง ภาพที่เห็นคือ ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่ได้เสด็จฯหนีไปทางไหนเลย

ทุกพระองค์ประทับอยู่ที่เดิม และพระราชทานโล่เกียรติคุณแก่ทุกคนอย่างไม่รู้สึกกังวลพระราชหฤทัย รวมถึงไม่ได้มีพระราชกระแสรับสั่งตัดหมายกำหนดการออกเลย ทรงเยี่ยมประชาชนที่มารอเข้าเฝ้าฯ และมีพระราชปฏิสันถารอย่างใกล้ชิด ทรงปฏิบัติตามหมายกำหนดการในทุกขั้นตอน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ดึกแล้ว แต่ก็ยังเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นต่ออีกอย่างไม่ถือพระองค์ ทรงใส่พระราชหฤทัยต่อคนเจ็บอย่างมาก มีพระราชกระแสรับสั่งถามถึงอาการและรับสั่งถามด้วยว่า

"จะให้เราช่วยอะไรหรือไม่" ยังความซาบซึ้งแก่คนเจ็บและผู้ที่มีโอกาสได้ตามเสด็จในครั้งนั้นอย่างหาที่สุดมิได้

ซึ่งก็สอดคล้องกับพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินาถ ที่ทรงพระราชทานให้แก่บุคคลที่ต่างๆที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเนื่องในวันวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 11 สิงหาคม 2535 โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งที่ระบุว่า

หวนรำลึกถึงพระสุรเสียง\"พระราชินีสิริกิติ์\"เมื่อครั้นเสด็จเยี่ยมราษฎร นับเป็นพระเมตตาและทรงเปี่ยมไปด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น

"ข้าพเจ้าขอเล่าว่าครั้งหนึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมทหารที่เขาค้อ ปรากฎว่ามีการลำเรียงทหารบาดเจ็บจากแนวรบ กลับมาที่โรงพยาบาลสนามที่ฐานปฎิบัติการ

เฮลิคอปเตอร์ได้นำคนบาดเจ็บมาลงใกล้ๆที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บ ข้าพเจ้าได้เห็นเลือดสดๆแม้ข้าพเจ้าจะพยายามทำสีหน้าให้มั่นคง แต่แววตาข้าพเจ้าคงฟ้องว่าข้าพเจ้ากลัวเลือดมาก

ฉะนั้นทหารที่บาดเจ็บคงสังเกตได้ความรู้สึกของเขาที่ว่าต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์คงจะได้อยู่ในจิตใจเขาตลอดเวลา เพราะเขาปลอบข้าพเจ้าทันทีว่า

หวนรำลึกถึงพระสุรเสียง\"พระราชินีสิริกิติ์\"เมื่อครั้นเสด็จเยี่ยมราษฎร นับเป็นพระเมตตาและทรงเปี่ยมไปด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น

"ท่านครับ...ผมไม่เจ็บอะไรมากหรอกไม่ต้องห่วง"

ข้าพเจ้าตื้นตันที่คนเจ็บกับมาปกป้องห่วงใยข้าพเจ้า ห่วงแม้เพียงความรู้สึกของข้าพเจ้า

"ผู้ยังแข็งแรงดี ทุกปราการ" โดยไม่ได้ห่วงอาการบาดเจ็บของตนเองเลย

และอย่างที่ข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง ณ ที่นี้ย้ำถึงว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ได้ เพราะท่านทั้งหลายได้ช่วยกันปกป้อง และจงใจที่จะให้อยู่ได้

ข้าพเจ้าจึงขอเล่าเหตุการที่จังหวัดยะลาที่มีระเบิดที่จังหวัดยะลาตอนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าอยู่บนพลับพลา ซึ่งสูงจากพื้นดินพอที่จะมองเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน เมื่อมีเสียงระเบิดตุ้มขึ้นสองครั้งประชาชนที่มารับเสด็จกันแน่น พากันวิ่งหนีกันอลหม่านแต่วิ่งไปได้สักครู่ข้าพเจ้าก็เห็นเขาเหล่านั้นหยุดชะงัก และวิ่งกลับมาบริเวณพลับพลากันเป็นแถวอย่างกับพร้อมใจ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าลงไปเยี่ยมเขาทุกคนบอกว่าขอโทษที่วิ่งหนีทิ้งท่านไปก็เพราะตกใจมาก แต่เมื่อได้สติก็วิ่งกันกลับมาเพื่อมาอยู่ด้วยและเขากล่าวว่า

"ถ้าใครคิดจะฆ่าท่าน ก็ให้เขาฆ่าพร้อมกันไปเสียเลย"

สิ่งเหล่านี้สถิตอยู่ในความทรงจำในใจของข้าพเจ้าตลอดมา ทำให้มีความมุ่งมั่นที่จะรับใช้ประชาชน ทำให้เขาอยู่ดีกินดีมีความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อจะได้เป็นกำลังใจของบ้านเมืองกันต่อไป"

(พระสุรเสียงของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9)

และเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2560 ทีมข่าวเจอดี(สำนักข่าวทีนิวส์) ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล

ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ จงคุ้มครองรักษาให้ทรงปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล ให้สัมฤทธิ์แก่พระองค์ตลอดไป

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

หวนรำลึกถึงพระสุรเสียง\"พระราชินีสิริกิติ์\"เมื่อครั้นเสด็จเยี่ยมราษฎร นับเป็นพระเมตตาและทรงเปี่ยมไปด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันมากล้น

ขอขอบพระคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : อ.เผ่าทอง ทองเจือ โดยการสนับสนุนของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่งบทความนี้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2553

ขอบคุณ : Youtube