ถึงแก่น?! "มือซีไรต์วิมล ไทรนิ่มนวล" ชำแหละ"ธนาธร" กับ 2 ปมใหญ่ที่คนไทยกังขา-ลอกคราบจน"นายทุนในคราบไพร่-มาร์กซิสต์จอมปลอม" ล่อนจ้อน

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

ถึงแก่น?! "นักเขียนรางวัลซีไรต์ วิมล ไทรนิ่มนวล" ซึ่งหากไม่นับการเป็น "คอลัมนิสต์อิสระ" ของแนวหน้าออนไลน์แล้ว ก็นับว่านาน ๆ จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างจริง ๆ จังๆ สักครั้ง แต่ทว่าดูเหมือนการก่อเกิด "พรรคอนาคตใหม่" ของ “ไพร่หมื่นล้าน - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่แตะมือกับ "อดีตอาจารย์นิติราษฎร์" อย่าง "นายปิยะบุตร แสงกนกกุล" ที่สร้างกระแสในหลากหลายแง่มุมเมื่อสัปดาห์ก่อนจะเป็นข้อยกเว้น โดยเฉพาะในส่วนของธนาธร....ที่นิยามตัวตนเขาเอาไว้หลายนิยามนั้นดูจะทำให้วิมลจำเป็นต้องไขคำตอบบางอย่างให้กับสังคม เพราะเขาได้ออกมาแสดงความเห็นในตัวตนของธนาธร ทั้งในฐานะ“ไพร่หมื่นล้าน" นายทุน รวมทั้งที่เขาอ้างว่าตนเองเป็น "มาร์กซิสต์” เอาไว้แบบหมดเปลือกว่ามันขัดแย้งกันแค่ไหน ซึ่งแม้แต่นักทฤษฎีการเมืองที่อ้างตัวว่า...เป็นลิเบอร่ายยังไม่แหลมคมเท่า   

โดยรายละเอียดที่ วิมล ระบุไว้มีถึง 2 ตอนด้วยกัน คือ

“ไพร่หมื่นล้าน”

คำว่า “ไพร่หมื่นล้าน” เป็นนิยาม “ความเป็นตัวตนของคุณธนาธร” โดยคุณธนาธรเอง ถามว่าทำไมต้องนิยามอย่างนี้ คำตอบมั่วๆของผมก็คือ เพราะคุณธนาธรเป็นมาร์กซิสต์พร้อมกันนั้นก็เป็นนายทุนด้วย

นิยามของคำว่า “ไพร่” ในยุคนี้ก็คือ “ชาวลิเบอรัล-มาร์กซิสต์” หรือที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ คนเสื้อแดงและสาวก-กองเชียร์ของคุณทักษิณนั่นแหละ เพราะคำนี้ก่อเกิดขึ้นมาในยุคเสื้อแดงเรืองอำนาจ โดยแกนนำของเสื้อแดง

ส่วนคำว่า “หมื่นล้าน” นั้นหมายถึงความมั่งคั่งร่ำรวย เพราะการเป็น “นายทุน” ของคุณธนาธร

ถ้าสรุปอย่างรวบรัดก็คือ คุณธนาธรเป็นนายทุนที่เป็นมาร์กซิสต์ (หรือไม่ก็ลิเบอรัล หรือไม่ก็ทั้งสองอย่างรวมกัน)

ชาวมาร์กซิสต์ตามทฤษฎีนั้นคือพวก “ชนชั้นกรรมชีพ” ซึ่งเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีด ส่วนชนชั้นนายทุนนั้นกดขี่ขูดรีดชนชั้นกรรมาชีพ ทั้งสองชนชั้นจึงเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นศัตรูกัน ตามที่มากร์กซ์ “โอมเพี้ยง” เป่ากระหม่อมไว้เป็นทฤษฎี

ข้อกังขาที่ตามมาก็คือ คนๆเดียวยืนอยู่สองชนชั้นก็ได้หรือ? มันจะขัดผลประโยชน์กันไหม? จะถ่างขายืนยังไง? ยิ่งเป็นผู้นำทางการเมืองก็ยิ่งมีคนสงสัยว่าจริงใจหรือไม่? จะทำเพื่อใครแน่?

แต่ทุกคำถามมีคำตอบ อย่างน้อยผมก็มั่วๆตอบได้ว่า ในทางทฤษฎีของมาร์กซิสม์นั้นถ้ามองแค่ที่กล่าวมาก็ตั้งข้อกังขากันได้

แต่ ๆๆๆ มาร์กซิสม์ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ “นายทุนเป็นมาร์กซิสต์” และ “มาร์กซิสต์เป็นนายทุน” ได้ นั่นก็คือทฤษฎี “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ที่ผ่านกระบานการวิจัยและวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า “วิภาษวิธี” มาแล้วเชียวนะท่านผู้ชม! (ในสมัยพุทธกาลเขาไม่ตื่นเต้น เรียกว่า “วิภัชวาท”)

วัตถุนิยมประวัติศาสตร์แบ่งพัฒนาการของสังคมมนุษย์ไว้หลายยุค...ยุคปัจจุบันคือ “สังคมทุนนิยม” และยุคต่อไปคือ “สังคมคอมมิวนิสต์” ลัทธิมาร์กซ์ยืนยันว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่ว่าแน่ๆ ใครเถียงแสดงว่าอยู่ในกะลาแลนด์

แต่ๆๆๆๆ จะเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ได้นั้น สังคมทุนนิยมจะต้องพัฒนาจนเต็มขีดขั้นของมันเสียก่อน หรือจนมันเดี้ยงไปเอง ทำนองเดียวกับเป่าลูกโป่งไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะแตกเองแล้วสังคมคอมมิวนิสต์ก็จะปรากฏขึ้น

แต่เพราะทฤษฎีของมาร์กซิสม์บอกว่า..ในสังคมเก่าย่อมมี “เชื้อ” หรือศักยภาพของสังคมใหม่ฝังแฝงอยู่ด้วยเสมอ ผมจึงขอเปรียบเหมือนคนที่ต้องเติบโตจนกระทั่งมีลูก พอคลอดลูกแล้วแม่ก็ตายไป ลูกนั้นเปรียบเป็นสังคมใหม่(สังคมคอมมิวนิสต์) ส่วนแม่เปรียบเป็นสังคมเก่า(สังคมทุนนิยม)

ดังนั้น เมื่อคุณธนาธรเป็นทั้งนายทุนและเป็นมาร์กซิสต์ด้วย จึงนับว่าเขาเข้าใจทั้ง 2 สังคมและ 2 ชนชั้นดี และในฐานะนายทุน เขาก็ต้องเร่งรัดพัฒนาสังคมทุนนิยมให้รุดหน้าไปอย่างเร็วที่สุด...หรือเร่งรัดทำให้คนมีลูกเร็วที่สุด เพื่อจะได้คลอดออกมาเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ หรือสังคมพระศรีอาริยะ!

มันเป็นกลไกหรือเป็นตรรกแบบคณิตศาสตร์อย่างนี้แหละท่านผู้ชม!

(แต่ๆๆๆ ในศตวรรษที่แล้ว ประเทศต่างๆเกือบครึ่งโลก ก็พยายามจะสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ มีหลายประเทศที่ “ทำท้อง” (ปฏิวัติ)ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ “แท้ง” เสียก่อน เพราะทำนุบำรุงทารกในท้องด้วยมือตีนหนักมากและฝืนธรรมชาติมากไป อย่างจีนและรัสเซีย เป็นต้น...แบบว่ามีความสามารถทำท้องได้ แต่ไม่มีความสามารถทำให้ทารกในท้องคลอดออกมาเป็น “เด็กพระศรีอาริยะ” อย่างที่มโนไว้ได้

แม้ผมจะมั่วๆอธิบายอย่างนี้แล้ว ก็ยังจะมีข้อกังขาตามมาอยู่ดี ว่า ในขณะที่กำลังเร่งรัดพัฒนาสังคมทุนนิยม หรือกำลังทำท้องนั้นใครได้ประโยชน์?

ผมก็ขอมั่วๆตอบต่อไปอีกว่า เมื่อนายทุนหมื่นล้านลงจากชนชั้นของตนมาช่วยชนชั้นกรรมาชีพโดยเฉพาะอย่างนี้แล้ว ชนชั้นกรรมาชีพจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลอย่างแน่นอน แต่ในอนาคต ส่วนในปัจจุบันนายทุนได้ประโยชน์ไปก่อน

เข้ากับอีกทฤษฎีหนึ่งเลย คือ Win – Win

ชาวกรรมาชีพต้องรำลึกถึงคำโบราณเอาไว้ ที่ว่า “จงอดเปรี้ยวไว้กินหวาน” แม้นานเพียงใดก็ต้องทน

ขออภัยสาวก – กองเชียร์ของคุณธนาธร ที่ข้าน้อยผู้โง่เขลาบังอาจแตะต้องผิวกำพร้าแห่งศาสดาองค์ใหม่ของท่าน แม้จะในมุมมองมั่วๆก็ตาม

“ธนาธร”
ไพร่หมื่นล้าน ตอน 2

มีหลายคนออกมาบอกว่าตอนนี้ “คุณธนาธร” เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้เป็น “มาร์กซิสต์” เหมือนเมื่อครั้งเป็นนักศึกษาอยู่ที่ธรรมศาสตร์อีกต่อไป

ผมไม่ได้แปลกใจ คนรุ่นผมสมัยเป็นนักศึกษาก็เป็นอย่างเดียวกับเขา โดยเฉพาะคนที่ทำกิจกรรม จนมีคำพูดที่ว่า “เป็นนักศึกษากิจกรรมต้องเป็นมาร์กซิสต์!” แต่เมื่อกาลผ่านไปก็ค่อยเปลี่ยนความคิดนั้น...ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

ผมก็เดาสุ่มเอาว่า...คุณธนาธรคงเปลี่ยนในตอนรับช่วงต่อดูแลกิจการของตระกูล เพราะการเป็นมาร์กซิสต์กับเป็นนายทุนพร้อมกันนั้นมันขัดแย้งกันตามทฤษฎี และสังคมก็กังขา ตัวเขาเองก็เห็นว่าลัทธิมาร์กซิสม์ล้าหลัง แต่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่พ้นจากมาร์กซิสต์ไปเลยก็ไม่ใช่ตัวตนของเขา ซ้ำจะเจอข้อหา “ทรยศ” ของผองเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีก เขาจึงเปลี่ยนเป็น “ลิเบอรัล” ซึ่งลัทธินี้ใครจะเป็นนายทุนหรืออะไรก็ตามใจปรารถนา

ทั้งมาร์กซิสต์และลิเบอรัลนั้นไม่มีนิยามที่แน่นอน มันลื่นไหลและยืดหยุ่น แม้แต่คาร์ล มาร์กซ์เจ้าของลัทธิมาร์กซิสม์เองก็ปวดกบาลกับพวกที่เรียกตัวเองว่ามาร์กซิสต์ในสมัยของเขามาแล้ว ไม่เว้นกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ในเยอรมันยุคนั้น

จึงไม่จำเป็นต้อง “จัดประเภท” คุณธนาธร แต่ดูที่การกระทำของเขาดีกว่า...ข้อมูลบอกว่าเขาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะการยืนหยัดอยู่กับฝ่ายเสื้อแดง และเป้าหมายทางการเมืองของเขาก็ยังคงเพ่งเล็งอยู่ที่ “สถาบันกษัตริย์กับสถาบันศาสนา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” ตามอุดมการณ์ของมาร์กซิสม์

(ลัทธิลิเบอรัลไม่เอาสถาบันกษัตริย์เช่นกัน ส่วนศาสนาไม่ปฏิเสธ แต่ในเมืองไทยก็แล้วแต่เฮีย)

เพราะถ้า 2 สถาบันนี้ยังแข็งแกร่ง (พลเมืองเคารพศรัทธา) ก็ย่อมขัดขวางเจตนรมณ์ของเขาที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็น “รัฐอุดมคติ” ตามอุดมการณ์ของเขา

ดังนั้นเขาจึงต้อง “รื้อรั้ว” สถาบันกษัตริย์ด้วยเรื่องมาตรา 112 และ “ลอยแพ” พุทธศาสนาออกจากการอุปถัมภ์ของรัฐ

การที่เขากล้าประกาศเจตนารมณ์ที่จะจัดการ 2 เรื่องนี้ จึงทำให้เขาได้ใจคน...ไม่เพียงในฝ่ายเดียวกัน แต่ยังได้ใจหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกกันว่า “เจนเนอเรชั่น Y” อีกด้วย (ข่าวว่าอย่างนั้น)

แต่พร้อมกันนี้ ก็ทำให้คนอีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจและโกรธแค้นเขามาก หลายรายประกาศ “เดินหน้าชน” กับเขาทันที

ดูเหมือนว่าสถานการณ์การเมืองไทยจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แต่มันก็ชัดเจนขึ้นว่า "ใครเป็นใคร ใครจะทำอะไร" ผมก็เห็นว่าดีที่เขาสำแดง “เจตนารมณ์” ให้สังคมได้พิจารณาและตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกเขา

หรือไม่ต้องพิจารณา แต่ตัดสินใจเลยก็ย่อมได้!

จากนี้ไป เราจะได้อ่าน - ได้ฟังถ้อยคำที่นุ่มนวลและแยบยลขึ้นของคุณธนาธร เพราะจะเล่นการเมืองโดยมีเป้าหมายเป็นผู้นำประเทศ ก็ต้อง “ได้ใจ” คนให้ได้มากที่สุด

 

ขอบคุณพิเศษ : ข้อเขียน "วิมล ไทรนิ่มนวล"