- 27 เม.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก “แหม่มโพธิ์ดำ” ได้นำข้อความของผู้ที่ร้องเรียนมาโพสต์มตีแผ่การทำงานของแพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ โดยมีการระบุข้อความทำนอง เมื่อวันที่ 5 เม.ย.61 มีหญิงสาวตั้งครรภ์ถูกส่งตัวไปผ่าคลอดทันทีที่โรงพยาบาลดังกล่าว แต่กลับถูกปฏิเสธไม่ผ่าให้ และให้กลับมาพักที่บ้าน จนกระทั่งผ่านเลยไป 6 วัน หญิงตั้งครรภ์เกิดปวดท้องอีกรอบ จึงได้กลับไปที่โรงพยาบาลนี้อีกครั้ง และได้ทำการผ่าคลอดให้ แต่ปรากฏว่า เด็กที่ผ่าคลอดออกมานั้น มีโอกาสได้อยู่บนโลกเพียง 2 สัปดาห์ ก็เสียชีวิต เนื่องจากหลังผ่าคลอด เด็กมีอาการผิดปกติ เพราะสำลักน้ำคล่ำในท้องและกินขี้ตัวเองในท้องนานเกินไปจนปอดติดเชื้อ จึงเกิดการตั้งคำถาม กรณีแบบนี้เกิดจากความผิดพลาดของหมอที่ไม่ผ่าตัดตั้งแต่ทีแรกหรือไม่? ซึ่งก็มีผู้ที่ติดตามเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” หลายราย ต่างแห่เข้ามาคอมเม้นแสดงความคิดเห็น พร้อมกับแชร์เรื่องราวดังกล่าวออกไปอย่างแพร่หลายนั้น
ล่าสุด (27 เมษายน 2561) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ จ.นครสวรรค์ สืบทราบว่าหญิงสาวที่เพจแหม่มโพธิ์ดำได้โพสต์ถึง คือ นางพิมพร เอี่ยมอนันต์ อายุ 27 ปี ชาวบ้านหมู่ 2 ต.โกรกพระ อ.โกรกพระ จึงได้เดินทางไปพบที่บ้านพักเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยนางพิมพร เล่าว่า เรื่องราวที่แหม่มโพธิ์ดำได้โพสต์ออกไปนั้น เป็นเรื่องจริง และตนเพิ่งจะจัดงานเผาศพให้กับบุตรชาย คือ ด.ช.พรชัย กลิ่นใจ ไปเมื่อวานนี้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น เริ่มจากตนท้องกับสามี คือนายมนูญ กลิ่นจันทร์ และได้ไปฝากท้องที่โรงพยาบาลของ อ.โกรกพระ พร้อมกับตรวจสุขภาพเด็กที่อยู่ในครรภ์มาตลอด พบว่า สุขภาพแข็งแรงดีไม่มีความผิดปกติใดๆ จนกระทั่ง ครบ 41 สัปดาห์ จึงได้ไปพบแพทย์ตามกำหนดที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง ปรากฏว่า แพทย์ระบุต้องให้ผ่าคลอดทันที จึงได้นำตัวตนส่งมาผ่าคลอดที่โรงพยาบาลของจังหวัด แต่ทางแพทย์ของโรงพยาบาลดังกล่าวกลับไม่ยอมผ่าคลอดให้ โดยบอกให้ตนกลับมาอยู่บ้านก่อน เพราะปากมดลูกยังไม่เปิด ซึ่งก็ผ่านเลยไปอีก 6 วัน จึงเดินทางกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อให้แพทย์ผ่าคลอดให้ เพราะตนปวดท้องหนัก โดยตนเดินทางไปถึงตอนบ่าย แต่กว่าจะผ่าให้ต้องรอเวลาจนถึง 22.30 น.
“หลังจากผ่าคลอดออกมาแล้ว ปรากฏว่า บุตรชายของตนเกิดติดเชื้อในปอดและลามไปยังส่วนอื่นๆ เนื่องจากแพทย์ให้ข้อมูลว่าเด็กสำลักน้ำคล่ำในท้องและกินขี้ตัวเองในท้องนานเกินไป ซึ่งก็ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 14 วัน แต่แพทย์ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ จึงทำให้ตนรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ตนเชื่อว่า หากแพทย์ดำเนินการทันทีในตอนนั้น ลูกของตนต้องไม่มาเสียชีวิตแบบนี้”เมื่อถามถึงว่าจะเอาอย่างไรต่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น นางพิมพรบอกว่า แม้จะเสียใจอยู่ก็ตาม แต่ก็คงไม่เอาเรื่องอะไร ตนอยากให้จบไป เพราะเด็กก็เสียไปแล้ว ร้องต่อสู้กันไป ลูกตนก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี แต่ก็อยากฝากเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์ และเกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย.