"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" ท้าปลดออก "ศิลปินแห่งชาติ" ลั่น "ผมรออยู่"!

"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" ท้าปลดออก "ศิลปินแห่งชาติ" ลั่น "ผมรออยู่"!

เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก สำหรับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของ ศิลปินแห่งชาติ อย่าง “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ผู้ประกาศแสดงจุดยืน เรียกตนเองว่า เป็น "ริเบอร์ร่าน" ที่ "ไม่เอารัฐประหาร" นั้นหมายถึงการ "ไม่เอา คสช.และองคาพยพ" ในทุกประการ ยืนยัน "การเลือกตั้ง" ใน "ระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์"
 

แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปตามหลักขั้นพื้นฐานตามหลักการแห่งประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่การวิพากษ์วิจารณ์ของเขากลับเข้าข่ายบิดเบือนข้อเท็จจริง เลือกที่รักมักที่ชัง ด้วยทัศนอคติของเขา อาทิเช่น เมื่อเร็วๆนี้เขาวิจารณ์การชุมนุมของกลุ่มคน กปปส. เป็นสาเหตุทำชาติ”ฉิบหาย” ขณะเดียวกับ เขาเลือกที่จะมองข้ามการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. ที่ทำสร้างความเสียหายแก่ชาติ ทั้งมูลค่าตัวเงินที่เประเมินค่าได้ ทั้งความเจ็บปวดในจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งนี้ไม่ได้บอกการชุมนุมกปปส. ดีไปเสียหมด หรือการชุมนุมนปช.เลวร้ายไปเสียทุกอย่าง แต่การชุมนมทุกการชุมนม ต้องอยู่ในขอบเขตอย่าล้ำเส้น ทั้งกองกำลังติดอาวุธ การใช้ความรุนแรง จนนำไปสู่ความสูญเสียก็ดี

"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" ท้าปลดออก "ศิลปินแห่งชาติ" ลั่น "ผมรออยู่"!

 

นี่จึงเป็นสาเหตุ ที่เขาถูกสังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในฐานะศิลปินแห่งชาติ ผู้เป็นแบบอย่างของประชาชน จนเกิดกระแส การปลด “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ออกจากตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ  ซึ่งกระแสดังกล่าวตัวของ “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” รับรู้ได้ดี ล่าสุด เขาได้ออกมาเคลื่อนไหว ในประเด็นดังกล่าวผ่านทาง เฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า...

 

วิธีปลด "ศิลปินแห่งชาติ"

จำพวกแฟนคลับ "ไทยโพสต์" ที่เคยเม้นท์โชกเลือดอยากหาวิธีปลดผมออกจาก "ศิลปินแห่งชาติ" เพราะเสียดายเงินภาษีเสียเหลือเกิน เงินเดือน "ศิลปินแห่งชาติ" ที่เป็นเงินภาษีของท่าน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จะส่งให้กับ "ศิลปินแห่งชาติ" สาขาต่างๆที่ยังไม่เสียชีวิต เป็นประจำทุกเดือน คือ 25,000 บาท ( สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน ) โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย 250 บาท เหลือเงิน 24,750 บาทผมก็ขอบคุณที่ได้รับเงินจำนวนนี้เป็นประจำทุกเดือน และตั้งแต่ได้ตำแหน่งนี้มาเมื่อ พ.ศ.2554 ก็ไม่เคยใช้สิทธิเบิก "ค่ารักษาพยาบาล" ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว !

 

อยากเรียนให้ทุกท่านทราบว่า เมื่อครั้งที่ผมทราบว่าจะได้รับเกียรตินี้เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม 2554 ก็ได้ปฎิเสธ "ไม่รับ" เกียรตินี้ไปกับคุณปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ( ปัจจุบันเกษียณอายุราชการ ) ในเวลานั้นไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ได้รับเกียรติ "ศิลปินแห่งชาติ" นั้นควรจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมจริงๆ และในแต่ละสาขาควรจะมีคนเดียว ( หลักการที่ผมเสนอไว้เมื่อครั้งเคยไปช่วยระดมความคิดใน "โครงการศิลปินแห่งชาติ" ของ "สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ" ในช่วงปี พ.ศ.2527 ที่ในเวลานั้นมี ชวน หลีกภัย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ) คือผมเคยเสนอว่าไม่ควรใช้หลัก "เหมาโหลถูกกว่า" ให้เปลืองภาษีของประชาชน ( เหมาโหลไม่ได้ถูกกว่า แต่ความจริงแพงขึ้น เพราะใช้ภาษีของราษฎรมากขึ้นตามจำนวน "โหล" ) ในทัศนะของผมให้เกียรติเต็มๆ อย่างชนิด "ให้ถูกคน" เพียงคนเดียวในแต่ละสาขาก็น่าจะพอ แต่แล้วหลักการนี้กระทรวงวัฒนธรรมก็ไม่นำไปใช้

 

 จนต่อมา เมื่อ "สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ( สวช.) กลายเป็นกระทรวงวัฒนธรรม มีงบประมาณใน "ความเป็นกระทรวง" มากขึ้น หลักการ "คนเดียว" ในแต่ละสาขาก็เลยหายเข้ากลีบเมฆไป อีกทั้งไม่มีบันทึกการประชุมไว้ด้วย เรื่องหลักการนี้ก็เลยลักลั่นมาเรื่อย บางปีคนเดียว บางปีหลายคน และด้วยเพราะคิดถึงหลักการดังกล่าว ผมจึงปฎิเสธไม่รับเกียรติไปกับอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมในปีนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้คุณประภัสสร เสวิกุล เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" สาขาวรรณศิลป์ ในปี พ.ศ.2554 ไปเพียงคนเดียว แต่ด้วยเหตุผลที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้ออกสื่อแจกข่าวล่วงหน้าไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว อีกทั้งการชักจูงของเพื่อนมิตรบางคนว่าให้เห็นแก่ "อนุกรรมการ สาขาวรรณศิลป์" ท่านหนึ่งที่ต่อสู้ให้ผมได้รับเกียรตินี้อย่างแข็งขัน และ "อนุกรรมการ สาขาวรรณศิลป์" อีกท่านหนึ่งที่ก็เคยเสนอชื่อผมไปก่อนหน้าหลายครั้งแล้ว แต่ชื่อได้ถูกคณะกรรมการกลางของกระทรวงวัฒนธรรม ( มีทั้งหมด 15 คน ) ดึงออกทุกครั้ง ซึ่งผมก็ทราบเรื่องนี้มานานแล้วว่า เกิดมาจากสาเหตุอะไร และจากใคร

 

เพื่อนมิตรในช่วงนั้นที่เข้ามาชักจูงให้ผมรับเกียรตินี้ ก็ให้่เหตุผลว่า ผมก็อายุมากแล้ว ไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่มีเงินบำเหน็จบำนาญ ดังนั้นจึงมีเหตุอันควรที่จะได้รับเกียรตินี้ และเมื่อผมเปลี่ยนใจมารับเกียรตินี้ ผมก็ถือสำนึกเสมอมาว่า นี่คือ "เงินภาษีของประชาชน" ที่ส่งมาให้ผมเป็นเงินบำนาญยามชราภาพ และก็เพื่อผมจะได้ Cyberization ให้ชัดเจนอย่างสุจริตใจว่า ผมมีทัศนคติ "ไม่เอารัฐประหาร" "ไม่เอาเผด็จการ" "ไม่เอา คสช." และบางครั้งอาจให้ข้อมูลความรู้ในเรื่องศิลปวรรณกรรมไปพร้อมกัน ถือเป็นเงินบำนาญของประชาชนที่มอบให้อย่างสุจริตใจ ( อีกทั้งผมยังได้เลี้ยงเมียที่แก่ชราแล้วอีก 1 คนด้วย ส่วนลูกไม่ต้อง เพราะเขามีงานทำแล้ว )

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีข้างฝ่ายที่หมั่นไส้ผม เห็นผมเป็น "นักเขียนอันธพาล" เป็น "ปีศาจประชาธิปไตย" รู้สึกเสียดายเงินภาษีของเขาที่จ่ายให้ผม ( แต่ไม่เสียดายเงินภาษีที่จ่ายให้ คสช.และองคาพยพของ คสช. เช่น กรธ., สนช., สปท.,กก.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ฯลฯ ) ดังนั้นจึงมักมี "เม้นท์โชกเลือด" ต้องการหาวิธี "ปลดผม" ออกจากทำเนียบ "ศิลปินแห่งชาติ" ซึ่งผมเองจะเคยแนะนำวิธีให้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าควรทำให้เป็นทางการ แต่แล้วก็ไม่เห็นผลอะไร นอกจากมีแต่ความซํ้าซากในเรื่องเดิมๆ ( โดยเฉพาะจากสื่อออนไลน์ เช่น "ไทยโพสต์" )

" ทำยังไงถึงจะปลดไอ้แก่นี่ออกจากศิลปินแห่งชาติ "

 

 

เริ่มต้นหาวิธีให้เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นทางการได้เลยครับ อย่ามัวแต่ก่นด่า เมื่อประมาณ 1 ปีก่อนเคยมีผู้เขียนคอลัมน์ "ตำข่าวสารกรอกหม้อ" เขียนโดย "จักรกฤษณ์ สิริริน" ใน นสพ."คมชัดลึก" ให้การวิเคราะห์เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ว่าทำได้หรือไม่ อยากให้ท่านย้อนกลับไปหาอ่าน เมื่อหาทางได้ผลอย่างไรแล้ว ก็ช่วยแจ้งกลับมาให้ผมทราบด้วย บอกผ่านทางสื่อออนไลน์ เช่น "ไทยโพสต์" ก็ได้

 ผมรออยู่