ทวนความจำ "ค้าประเวณีแก๊งนกฮูก" แม่เล้า-ดต. สร้างวีรกรรมสาหัสที่มาศาลตัดสิน โดนคุก 309 ปี

จากคดีค้ากามสะเทือนขวัญในสังคมสะท้อนการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณี "แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน" คดีดังกล่าวเกิดขึ้นที่ บ้านน้ำเพียงดิน จ.แม่ฮ่องสอน แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดคงจะไม่บานปลายและยืดเยื้อกลายเป็นความ "ฉาว"

    แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน

 

    จากคดีค้ากามสะเทือนขวัญในสังคมสะท้อนการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณี "แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน" คดีดังกล่าวเกิดขึ้นที่ บ้านน้ำเพียงดิน จ.แม่ฮ่องสอน แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดคงจะไม่บานปลายและยืดเยื้อกลายเป็นความ "ฉาว" หากผู้เกี่ยวข้องไม่ใช่เด็กสาวกว่า 20 คน พร้อมข้าราชการระดับสูง และนายหน้าค้ากามในคราบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

 

    ปมของเรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นในช่วงปี 2559 เมื่อนางน้ำเพชร ได้เห็นภาพของลูกในไส้ปรากฏอยู่ในกลุ่มเด็กสาวไซด์ไลน์ ซึ่งตำรวจที่รู้จักกันได้นำมาให้ดูอีกทีหนึ่ง จนทำให้นางน้ำเพชรต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ เรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิความเป็นสตรีกลับมาสู่ครอบครัวของตน

 

    โดยการเริ่มวางแผนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อ "ล่อซื้อ" ลูกสาวตัวเอง ซึ่งนางน้ำเพชร ก็เป็นงานและมีประสบการณ์การล่อซื้อในระดับหนึ่ง เพราะในอดีตเคยเป็นสายล่อซื้อยาเสพติดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทันใดนั้นภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้หัวอกของผู้เป็นแม่แทบสลายเพราะการพบกันในครั้งนี้ ลูกสาวของเธอคือสาวขายบริการ

 

    ภายหลังพยายามถามหาแรงจูงใจในการค้าประเวณีของลูกสาว ซึ่งไม่น่ามีเหตุปัจจัยอันใด เนื่องด้วยพื้นฐานครอบครัวไม่ได้ถือว่ายากจน แต่แล้วเรื่องทั้งหมดส่อเค้าบานปลายในบัดดล เมื่อลูกสาวเผยว่าตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบีบบังคับ เพราะเคยถูกตำรวจแอบถ่ายคลิปขณะเสพยา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง หากไม่ยอมไปขายบริการก็จะนำหลักฐานไปแจ้งจับในคดียาเสพติด

 

 

แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน

 

    ไม่รอช้านางน้ำเพชร เร่งเข้าแจ้งความในทันที เพื่อเอาผิดกับขบวนการค้ากาม ที่ล่อลวงลูกสาวเธอให้ตกเป็นเหยื่อ แต่อนิจจาท้ายสุดผู้ที่โดนดำเนินคดีมีเพียงแม่เล้าและเด็ก แต่ไม่สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เป็นนายหน้าค้ากาม ได้แต่อย่างใด เมื่อกระบวนการยุติธรรมตามครรลองไม่เป็นผล นางน้ำเพชรจึงเดินหน้าสู้คดีต่อด้วยตนเอง

    เริ่มจากนำเด็กอีก 2 คนที่ถูกบังคับให้ค้าประเวณี เดินทางเข้า กรุงเทพฯ เพื่อแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ปคม. แน่นอนว่าปฏิบัติการเชิงรุกของผู้เป็นแม่ประสบผลสำเร็จ เพราะหลังจากเธอออกโรงแฉขบวนการค้ากามเพียงไม่นาน ได้ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังขึ้นหน้าหนึ่งในทันที

 

 

แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน

 

    จากการค้าประเวณีในพื้นที่ต่างจังหวัด กลายเป็นประเด็นไฟลามทุ่งเพียงชั่วข้ามคืน จนในเวลาต่อมาได้มีการ "แฉ" ขบวนการค้ามนุษย์ เริ่มจากกลลวงตกเหยื่อเพื่อเข้าสู่วงจรอุบาทว์ เริ่มต้นจากการให้กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน เข้าทำร้ายเป้าหมาย หลังจากนั้นการจัดฉากจะเริ่มต้นขึ้น ด้วยการให้แม่เล้าเข้าช่วยเหลือ และชักนำไปเสพยา ซึ่งในระหว่างการเสพยาจะมีการแอบถ่ายคลิปวิดีโอเพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อรอง

 

    เมื่อขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้น ขบวนการค้ากาม จะทำการขมขู่เหยื่อให้เข้าสู่การค้าประเวณี หากเหยื่อขัดขืนจะนำคลิปการเสพยามาข่มขู่และซ้อมจนบาดเจ็บ ทำให้เด็กที่หลงเข้าสู่กระบวนการดังกล่าวอยู่ในภาวะจำยอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตกอยู่ในวังวนแห่งอบายอย่างเสียมิได้

 

    ทางด้านนางน้ำเพชร แม่ของเหยื่อ ให้ข้อมูลว่าส่วนใหญ่ผู้ใช้บริการเด็กใน จ.แม่ฮ่องสอน เป็นข้าราชการตัณหากลับ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ไม่เว้นแม้แต่ พ่อพิมพ์ของชาติ โดยจะเปลี่ยนสถานที่หลายแห่ง มีตั้งแต่โรงแรมหรู ไปจนถึงบ้านพักข้าราชการ เด็กที่ถูกบังคับมาค้าประเวณี มีจำนวนประมาณ 20 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกบังคับให้สักบริเวณหน้าอกเป็นรูป "นกฮูก" ด้วยคล้ายว่าจะเป็นสัญลักษณ์แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของ หรือเป็นสิ่งของ ของขบวนการอย่างไรอย่างนั้น

 

 

แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน

    ระหว่างการต่อสู้ทางคดีความ นางน้ำเพชร เล่าว่าฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นเจ้านายของนายดาบคนหนึ่ง ได้ติดต่อผ่านคนกลางมาเพื่อขอเสนอเงินจำนวน 1 ล้านบาทเพื่อขอให้คดีเป็นเพียงการค้าประเวณี แทนที่จะเป็นการค้ามนุษย์ แต่นางน้ำเพชร ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เพราะถึงแม้จะไม่ร่ำรวยแต่ก็มีศักดิ์ศรี ทำให้โดนข่มขู่จากฝั่งตรงข้ามตลอดเวลาว่าจะมีชีวิตต่อไปอีกได้ไม่นาน จึงเดินหน้าเข้าขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน

 

    หลังจากเป็นคดีที่ยื้ดเยื้อมากว่า 2 ปี จนเหตุการณ์ดังกล่าวได้เลือนหายไปจากหน้าสื่อ ล่าสุดวันที่ 18 ต.ค. 2561 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์หมายเลขดำคม.74/60 ที่อัยการคดีค้ามนุษย์ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ปิยะวรรณ หรือเมย์ สุขมา, น.ส.ปิยทัศน์ หรือต๊า ภาพเทียนสุวรรณ, ด.ต.ยุทธชัย ทองชาติ หรือดาบยุทธ และ น.ส.กัลยา หรือจอย วุฒิคุณ เป็นจำเลย 1-4 ฐานร่วมกันค้ามนุษย์

 

 

แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน

 

    กรณีระหว่างวันที่ 1 ม.ค.55-6 พ.ย.59 พวกจำเลยได้สมคบกันวางแผนเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี และอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี ส่งไปยังโรงแรมปางล้อ วิลล่า ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อทำการค้าประเวณี และเพื่อสนองความใคร่ผู้อื่น โดยผู้เสียหายไม่เต็มใจและมีการกระทำหลายครั้ง
 

 

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งหมดกระทำผิดตามฟ้องการกระทำความผิดหลายกรรม โดยจำเลยที่ 1-3 มีความผิดลักษณะสมคบกันค้ามนุษย์ พิพากษาจำคุกจำเลยแต่ละรายเป็นความผิดหลากกรรมต่างกันคงจำคุกจำเลย 1,2 คนละ 183 ปี จำเลย 3 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเพิ่มโทษเป็น 2 เท่า รวม 309 ปี และจำเลย 4 รวม 65 ปี ให้จำเลย 1,2,3 ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 8.5 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ชดใช้เงิน 5 แสนบาท

 

 

แก๊งนกฮูกน้ำเพียงดิน

 

    ก่อนหน้านี้ในคดีเดิมที่ 42/2560 นั้นจำเลยทั้ง 4 คนถูกศาลพิพากษาในคดีร่วมกันค้าประเวณีเด็กหญิงอายุ 14 ปี โดยนางสาวปิยวรรณ ศาลพิพากษาจำคุก 167 ปี , นางสาวปิยทัศน์ ศาลพิพากษาจำคุก 176 ปี ,ด.ต.ยุทธชัย ศาลพิพากษาจำคุก 320 ปี ซึ่งทางกฏหมายให้ลงโทษจำคุกจำเลยได้ไม่เกิน 50 ปี ส่วนนางสาวกัลยา ศาลพิพากษาจำคุก 36 ปี

 

    คดีดังกล่าวถือเป็นเรื่อง "ฉาว" ครั้งใหญ่ แม้นว่าวันนี้ปัญหาการ "ค้ามนุษย์" จะยังไม่มีทีท่าว่าจะเลือนหายไปจากสังคมไทย แต่หลากหลายเหตุการณ์ก็เสมือนเป็นบทเรียน เพื่อให้ภาครัฐเข้ามาสอดส่องดูแลมากขึ้น เพราะการละเมิดสิทธิความเป็นสตรีนั้นถือเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่ง เกินกว่าที่จะยอมรับได้ในความเป็น "มนุษย์"