เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยึดทำเนียบ ลั่น "ทำเพื่อชาติ" พร้อมรับคำตัดสิน !

วันนี้ 1 ก.พ. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอดีตแกนนำพันธมิตรฯ บุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 เป็นคดีหมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่ พ.ต.ต.สุรพงษ์ สายวงศ์ อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์

เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยึดทำเนียบ ลั่น "ทำเพื่อชาติ" พร้อมรับคำตัดสิน !

 

วันนี้ 1 ก.พ. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอดีตแกนนำพันธมิตรฯ บุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 เป็นคดีหมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่ พ.ต.ต.สุรพงษ์ สายวงศ์ อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี ,นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน หรือกลุ่มการเมืองสีเขียว 

พร้อมด้วยอดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362 และ 365

อัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำจัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ

เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยึดทำเนียบ ลั่น "ทำเพื่อชาติ" พร้อมรับคำตัดสิน !

ต่อมาหลังจากนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนและมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 7 ต.ค. 251 ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 251 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 4 กับพวก ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ

จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลรวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยและช่วงวันที่ 26 ส.ค.  – 3 ธ.ค. 2551 ระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลซึ่งมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้6เป็นความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการและร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-6 กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 365 อนุมาตราสอง ,362 และ 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดในความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 ปี

ต่อมาจำเลยทั้ง 6 ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษเป็นว่า จำเลยทั้ง 6 ที่เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลนานถึง 90 วัน ซึ่งผู้ชุมนุมไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ มีการใช้คีมตัดโซ่คล้องกุญแจประตูทำเนียบรัฐบาล ฝ่าแผงเหล็กกั้นอลูมิเนียมเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล

เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยึดทำเนียบ ลั่น "ทำเพื่อชาติ" พร้อมรับคำตัดสิน !

 

เป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการโดยทำให้เสียทรัพย์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้นถือว่าหนักเกินไปเห็นควรแก้โทษให้เหมาะสม พิพากษาให้จำคุก คนละ 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญาต่อมาจำเลยทั้ง 6 ยื่นฎีกาต่อ โดยในวันนี้ ศาลได้เบิกตัว นายสนธิ จำเลยที่ 2 มาจากเรือนจำกลางคลองเปรม ส่วน พล.ต.จำลอง,นายพิภพ,นายสมเกียรติ์,นายสมศักดิ์ มาฟังคำพิพากษา ขณะที่ นายสุริยะใส จำเลยที่ 6 ไม่มาศาลเนื่องจากป่วย โดยทนายมีใบรับรองแพทย์ มายื่นต่อศาล 

เมื่อถึงเวลานัด ทนายความจำเลยได้แถลงต่อศาลว่า นายสุริยะใส จำเลยที่ 6 มีอาการป่วยท้องเสีย และความดันโลหิตสูง จึงไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ โดยมีใบรับรองแพทย์มายื่นแสดงต่อศาล ขณะที่นายสนธิ จำเลยที่ 2 แถลงต่อขอถอนคำร้องขอถอนฎีกา ที่ยื่นไว้เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2551 ที่ผ่านมา

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายสุริยะใส จำเลย 6 มีการป่วยท้องเสีย และความดันโลหิตสูง โดยเข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา และมีใบรับรองแพทย์ จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 6 มีอาการป่วยจริง ทำให้ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ และอนุญาตให้นายสนธิ จำเลยที่ 2 ถอนคำร้องขอถอนฎีกาได้ และเห็นควรเลื่อนไปอ่านคำพิพากษาฎีกาอีกครั้งในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น.

เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยึดทำเนียบ ลั่น "ทำเพื่อชาติ" พร้อมรับคำตัดสิน !

ขณะที่นายพิภพ กล่าวก่อนการพิจารณาคดีว่า ไม่มีความกังวลใจอะไร เนื่องจากตนเองและคนอื่นๆ ต่อสู้เพื่อความถูกต้องมาโดยตลอด แม้ว่าผลการตัดสินจะออกมาว่าติดคุกก็จะไปทำงานในคุก เราเป็นนักวิชาการก็เข้าไปคุยกับคนยากจนที่อยู่ในคุกได้ ด้านนายสมเกียรติ กล่าวว่า การมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันนี้ อยากให้สังคมได้ตื่นตัว เพราะเราต่อสู้เพื่อชาติมาตลอด จะติดคุกหรือไม่ติดคุกรับได้ทั้งนั้น ตนภูมิใจและดีใจมากที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวกับประชาชนนับแสนคน ไม่มีครั้งใดที่ภูมิใจเท่าครั้งนี้

เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยึดทำเนียบ ลั่น "ทำเพื่อชาติ" พร้อมรับคำตัดสิน !