จตุพร-ณัฐวุฒิ บนทางขนานในเส้นทางนปช.นับวันยิ่งยากบรรจบ?หรือจบกันแล้ว

จตุพร-ณัฐวุฒิ สองเกลอบนทางขนานในเส้นทางนปช.นับวันยิ่งยากบรรจบ?หรือจบกันแล้วจับตาท่าทีทางการเมือง

จากประเด็นในเรื่องของการจัดอันดับปาร์ตี้ลิสต์รายชื่อผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักษาชาติ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย  โดยเป็นแรงสั่นสะเทือนอันเกิดภายในพรรคเอง ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักต่อภายนอก นอกเสียทำให้มีเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวง คอการเมืองเท่านั้น ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดต่อประเทศชาติ กระนั้นสำหรับผู้ที่ชอบเสพข่าวการเมือง ก็คงต้องให้ความสนใจโดยเฉพาะคนเสื้อแดง ที่แกนนำคนสำคัญอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังอยู่สบายดี ในขณะคนอื่นๆดูว่าน่าจะลำบากในการจะได้เป็นส.ส. เพราะมีรายชื่ออยู่เกือบท้ายๆบัญชีในขณะ ณัฐวุฒิอยู่ลำดับ7ซึ่งถือว่าปลอดภัย และนี่เองอดทำให้นึกถึงแกนนำนปช.ที่ชื่อ จตุพร พรหมพันธ์ ไม่ได้ที่วันนี้แยกเดินไปอีกทาง โดยก่อนหน้านี้ก็คล้ายจะมีเรื่องราวที่เหมือนจะเป็นทางขนานระหว่างพี่ตู่กับน้องเต้น

 

จตุพร พรหมพันธ์ ในฐานะประธานนปช. วันนี้ได้กระโดดออกมาเป็นกองเชียร์ที่คอยขับเคลื่อนพรรคเพื่อชาติ ที่เจ้าตัวเองเคยบอกว่า อยากให้ประเทศปราศจากโรคขัดแย้ง ซึ่งท่าทีของจตุพร จะเห็นว่าช่วงหลังๆมานี้ ดูมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างสูง นิ่งและสุขุมกว่าเดิม คล้ายจะตกผลึกความคิด ที่เห็นได้ชัดก็คือการพูดถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการให้สัมภาษณ์พิเศษแทบลอยด์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันที่ 19 ส.ค. ถึงนำถามที่นายณัฐวุฒิ พูดในทำนองที่ว่าพรรคเพื่อไทยขาด”ทักษิณ ชินวัตร”ไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องยอมรับคุณูปการของการเป็น ทักษิณ ที่ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง

 

ทั้งนี้โดยความคิดเห็นของนายจตุพร ค่อนข้างที่จะสวนทางกับนายณัฐวุฒิอย่างรุนแรง นับว่าเป็นการสวนที่น่าสนใจ ในหลักการที่ว่า พรรคการเมืองจะยึดติดกับตัวบุคคลไม่ได้ ควรจะเอาอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นตัวตั้ง เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ในมุมมองของตัวเองนั้นต้องการให้การเมืองอยู่บนหลักการมากกว่าตัวบุคคล การเมืองถ้าผูกติดกับอุดมคติแนวทางอุดมการณ์มันจะยั่งยืน ส่วนตัวบุคคลสามารถถูกทำลายได้ มีขึ้นมีลง มีบวกมีลบ นี่คือโลกแห่งความจริงหนีไม่พ้น จึงควรต้องยึดแนวทางอุดมการณ์เป็นหลัก คือควรต้องนำบุคคลออกไป การตัดสินแนวทางอุดมการณ์ต้องเอาหน้าคนออกไป หากยังเป็นแบบเดิมคือมีคนในตระกูลชินวัตรขึ้นมาเป็นหัวหน้า นำพาพรรคเพื่อไทยต่อ ก็อาจเกิดปัญหาแบบเดิม

 

ร่องรอยความสัมพันธ์ของสองเกลออย่างน้องเต้น-พี่ตู่ ถูกนำมาเปิดเผย ฉายให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดของคนสองคน ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งที่เห็นได้ชัดแจ้งก็คือ นายณัฐวุฒิ ยังคงทำงานการเมืองอยู่กับพรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะเปลี่ยนมาอยู่ไทยรักษาชาติ พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่อันเชื่อกันว่า มาจากหน่อเดียวกันกับเพื่อไทยซึ่งมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นคนๆเดียวกัน นั่นคือนายใหญ่

 

 

 

จตุพร-ณัฐวุฒิ บนทางขนานในเส้นทางนปช.นับวันยิ่งยากบรรจบ?หรือจบกันแล้ว

 

ในความไม่ลงรอยนั้น นอกจากเกิดขึ้นระหว่างแกนนำนปช.แล้ว ยังว่ากันว่ายังมีเรื่องหมางใจระหว่างจตุพรกับนายใหญ่อีกด้วยซึ่งมีการหยิบเอาเหตุการณ์ครั้งที่นายทักษิณ วิดีโอลิงก์ ที่เวทีเสื้อแดงชุมนุมใหญ่เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2555 ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ โดยนายจตุพร ได้ประกาศให้ นปช.และคนเสื้อแดงยื่นคำขาดไปถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย  คือให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาล ยกเลิกแนวคิดการทำประชามติ และเลือกวิธีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้โหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 ที่ค้างการพิจารณาอยู่ในรัฐสภา โดยประกาศกร้าวกลางเวทีว่า นี่คือความต้องการของคนเสื้อแดง ที่เห็นชอบร่วมกันในรูปแบบของปฏิญญาโบนันซ่า เขาใหญ่ ซึ่งเรียกเสียงปรบมือโห่ร้องของคนเสื้อแดงจำนวนมากที่เขาใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายจตุพร

 

ซึ่งด้วยเรื่องนี้เองที่มองกันว่านายจตุพร ถูกนายทักษิณ หักหน้ากลางเวที ด้วยการวิดีโอลิงก์ มาหลังนายจตุพร ปราศรัยไม่กี่นาที ว่า การโหวตวาระ 3  แม้ทำได้แต่จะมีปัญหา เพราะจะมีหลายคนไม่กล้าไปร่วมโหวต แม้ต่อให้รัฐบาลมีเสียง ส.ส.ร่วม 300 คน แต่ต้องใช้เสียงถึง 326 เสียง ทำให้เสียงวาระ 3 จะไม่ถึง รัฐธรรมนูญจะตกไป แล้วยังจะมีการจ้องจะหาเรื่องไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญอีก หากโหวตวาระ3 นี่เองจากคำพูดของนายทักษิณ ที่คล้ายว่าหักหน้านายจตุพร ที่บอกปัดข้อเสนอทันทีทันใด จะมองเป็นอย่างไม่ได้นอกจากว่าถูกนายใหญ่ไม่ไว้หน้า และหลังจากเหตุการณ์นี้นายจตุพร ก็ไม่ได้สัมผัสเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่คนที่ได้เข้ามานั่งกลับเป็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

 

ไม่แน่ใจว่าอาการกินแหนงแคลงใจระหว่างพี่ตู่กับน้องเต้นจะมีสาเหตุมาจากการชวดเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่ ทั้งที่ตัวนายจตุพรนั้นมีบทบาทในการนำนปช.ต่อสู้มาโดยตลอด ที่สำคัญต้องติดคุกติดตะรางมาหลายครั้ง ต่างกับนายณัฐวุฒิ ที่ดูเหมือนว่าพยายามจะวิ่งเข้าหาขั้วอำนาจไม่ว่า พรรค หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ เช่นนั้นเองจึงปรากฏอีกหนึ่งเหตุการณ์เมื่อที่ 28ก.ย.ปีที่แล้ว ที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พร้อมด้วย นายจตุพร ร่วมแถลง “ทางออกประเทศด้วยการเสนอตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลก่อนเลือกตั้ง และถัดมาแค่วันเดียว (29 ก.ย.) นายณัฐวุฒิ ก็ออกมาพูดแบบนี้

 

“เมื่อตัดสินใจเป็นผู้เล่นก็ไม่ควรถืออำนาจเบ็ดเสร็จเหนือกรรมการ เป็นปัญหาพื้นฐานซึ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกันและเรียกร้องต่างกรรมต่างวาระมาตลอด ส่วนข้อเสนอให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลนั้นเคยได้ยินผ่านสื่อมาเป็นระยะ แต่ไม่ทราบรายละเอียดที่มาที่ไปเพราะไม่เคยหารือกันเรื่องนี้” นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

จตุพร-ณัฐวุฒิ บนทางขนานในเส้นทางนปช.นับวันยิ่งยากบรรจบ?หรือจบกันแล้ว

 

นอกจากนี้เลขาฯนปช. ยังกล่าวถึงการเสนอตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลด้วยว่า “การมีรัฐบาลเฉพาะกาล นอกจากไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย และอาจถูกมองเป็นเจตนาล้มการเลือกตั้งแล้ว ยังไม่มีหลักประกันว่าจะแก้ปัญหาได้ รัฐบาลชุดนี้ใช้เวลาเกือบ 5 ปี บอกว่ารวบรวมคนดี คนรักชาติไว้เต็มลำ ก็ยังเป็นแค่เรือแป๊ะ ไม่เป็นสับปะรด จึงเชื่อว่าการฟังเสียงประชาชนเป็นสิ่งที่ใกล้ความจริงมากกว่า

 

จากนั้น 30 ก.ย. นายจตุพร ได้กล่าวที่ร้านกาแฟ พีซ คอฟฟี่ อิมพีเรียลเวิลด์ลาดพร้าว ในกิจกรรมต่อลมหายใจให้กับพีซ  ช่วงหนึ่งโดยนายจตุพร กล่าวว่า เราจะคิดโลกสวยพูดคำเดียวนะครับ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ถ้าไม่เคยตายกันมาเนี่ยพูดได้ แต่นี่สู้มันตายกันมาหลายรอบ ผมจึงบอกว่าวันนี้ใครจะมานำเสนอ จะวิธีการใดก็แล้วแต่ ที่ยุติความตายและทำหน้าที่กรรมการส่งให้การเลือกตั้งแบบนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ทำใน 35/2 ผมเองก็ต้องเห็นด้วย แต่ว่าไม่ใช่ว่าเราจะปิดหูเลยว่าต้องประชาธิปไตย ก็เลือกตั้งวันนี้ยังไม่ประชาธิปไตยเลย คุณจะเอาอะไรกันนักหนาล่ะ?

 

ผมไปนั่งคุยกับ พล.อ.ชวลิต ผมก็ฟัง พล.อ.ชวลิต พล.อ.ชวลิต ก็ฟังผม ผมก็เสนอแนวผม พล.อ.ชวลิต ก็เสนอแนว พล.อ.ชวลิต เพราะ พล.อ.ชวลิต แสดงความไม่เห็นแก่ตัวมาตลอดชีวิตไง เห็นแก่ชาติบ้านเมือง คนเขาผ่านการทำศึกแล้วการเจรจายุติ พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาแก้ไขให้มาเลเซีย เขมร 3 ฝ่าย 4 ฝ่าย จับให้เขาดีกัน พม่าก็คลี่คลายกับเขา วันนี้พอเขาเสนอทางออกให้กับชาติบ้านเมือง ผมไม่นั่งฟังอะไรจากเขาเลย ได้หรือ?  เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นแนวความคิด พล.อ.ชวลิต โยนเข้ามาสังคมนี้ แต่อย่าบอกว่ามันไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ว่าเสนออะไรเวลานี้ไม่ใช่ประชาธิปไตยสักเรื่องหนึ่ง เลือกตั้งก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพียงแต่ว่าเราจะเดินไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนกันได้อย่างไร” นายจตุพร กล่าว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบอีกหนึ่งร่องรอยจากที่นายอานนท์ แสนน่าน ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี ได้โพสต์ข้อความให้สมาชิกหมู่บ้านเสื้อแดงเตรียมพร้อมโดยระบุให้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และพรรคไทยรักษาชาติ ในการเลือกตั้งที่จะถึง ซึ่งในข้อความของอานนท์น่าสังเกตว่าไม่ได้พูดถึงพรรคเพื่อชาติ ที่นายจตุพรให้การสนับสนุน ทั้งยังมีการนัดหมายสมาชิกในวันรัฐธรรมนูญที่จะถึงนี้ด้วย ทำให้นายจตุพร ต้องออกมาไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีนี้ว่า

 

“ใครก็ไม่รู้ มานัดหมาย ผมขอพูดในฐานะประธานนปช. คุณอานนท์ยังไม่เคยติดคุก มันมีคำสอนอยู่ในนั้น 3อย่าง เราเห็นแล้วว่า10ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างไร ประชาธิปไตยมันไปไม่ได้ ใครไม่ควรแย่งเสนอหน้าตอนนี้ เขาก็บอกแล้วว่าถ้าไม่สงบก็ไม่มีเลือกตั้ง นี่มานัดกันวันที่10 อวดตนมานัดหมาย ทำเบ่ง ผมมี6คดีรออยู่ข้างหน้า การจะออกมาแบบนี้ไม่มีประโยชน์ทั้งพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ” นายจตุพร กล่าว

 

นอกจากเรื่องความคิดเห็น แนวทางที่ไม่ลงรอยกันแล้ว ยังมีเสียงวิจารณ์กันอีกถึงเรื่อง  PEACE TV ที่จดทะเบียนในชื่อ บริษัท รวยทันที จำกัด ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง ผู้ถือหุ้นและกรรมการ 2 ราย คือ 1.นายชูเกียรติ สิงห์ทอง เข้ามาถือ 510,000 หุ้น 2.นายอนันต์ คำเก่า ถือ 245,000 หุ้น จากนั้นย้ายที่ตั้งสำนักงานเป็นเลขที่ 2539 อาคารอิมพีเรียล เวิลลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด (PEACE TELEVISION Co.,Ltd .) และเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น โดย นายพรศักดิ์ ศรีละมุล หรือ หมู แกนนำคนเสื้อแดง เข้ามาถือ 122,500 หุ้น ขณะที่นายอนันต์ คำเก่า เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด และบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ของนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (ทั้งสองคนเคยถือหุ้น) ซึ่งเสียงร่ำลือที่ว่ากันนั้นเพราะนายจตุพร เป็นคนดูแลพีซทีวี ต้องเหนื่อยหาทุนมาทำกันเอง ต่างจากช่อง TV 24 ที่ได้ท่อน้ำเลี้ยงอย่างดีจากใครบางคน

 

ทั้งหมดนี้น่าจะพอฉายให้เห็นกันชัดบ้างแล้วว่า เส้นทางเดินของนายจตุพร อันยืนอยู่บนหลักคิดยึดมั่นแนวทางของตนเอง นับวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ย่อมเลือกที่จะเดินไปคนละแนวกับนายณัฐวุฒิ ด้วยเป้าหมายที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกัน โดยในความเหมือนที่แตกต่างนั้นที่ผ่านมาก็พอเห็นกันแล้ว คนหนึ่งทำเพื่อให้ได้มีตำแหน่งทางการเมือง เข้าหาผู้มีอำนาจ ขณะอีกคนหนึ่งดูราวไม่สนใจ วางระยะห่างกับอำนาจและคน นี่คือเส้นทางเดินของคนเคยสู้กันมา แต่บัดนี้เส้นทางนั้นกำลังกลายเป็นเส้นขนานที่นับวัน ยิ่งยากที่จะกลับมาบรรจบกัน?!?

 

จตุพร-ณัฐวุฒิ บนทางขนานในเส้นทางนปช.นับวันยิ่งยากบรรจบ?หรือจบกันแล้ว

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เต็มใจให้หลอก? เปิดโพลทักษิณเขี่ย "หญิงหน่อย" ดัน "ชัชชาติ" คะแนนนำ!

"กิตติธัช" สวน "ชัชชาติ" ปมปราศรัยหาเสียง "ส่วนต่างราคาข้าว" งานนี้มีคนเงิบหนัก...ใครแน่รู้ไม่จริง

“สุดารัตน์”เข้าทาง “โอ๊ค-พานทองแท้” ..อาจเป็นโอกาสสุดท้ายขว้าง ชัชชาติ ขึ้นเบอร์ 1 ลิสต์ นายกฯเพื่อไทย???

เกือบตายกันทั้งพรรค!​ "ยิ่งลักษณ์" โชว์พาวครอบงำ "ชัชชาติ​" พท.​เสียวถูกยุบ?