"ธนาธร" รู้ไว้แผ่นดินนี้มีพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง(บวกกับฝีมือสำนักข่าวอิศรา)

คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้กล่าวในรายการเที่ยงตรง กับสนธิญาณ ในตอน "ธนาธร" รู้ไว้แผ่นดินนี้มีพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง(บวกกับฝีมือสำนักข่าวอิศรา)

ในรายการเที่ยงตรง กับสนธิญาณ  คุณสนธิญาณ  ชื่นฤทัยในธรรม  ได้กล่าวเอาไว้ในตอน "ธนาธร" รู้ไว้แผ่นดินนี้มีพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง(บวกกับฝีมือสำนักข่าวอิศรา)  โดยระบุว่า บรรยากาศค่อนข้างจะแปลกใหม่สักนิดนึงนะครับเพราะผมกำลังรายงานอยู่ในรถเหตุผลเพราะ ผมต้องเดินทางไปศาลอาญาในฐานะจำเลยที่หนึ่งข้อหากบฏในราชอาณาจักรซึ่งมีโทษสูงจำคุกตลอดชีวิตเมื่อคราวที่กปปส. เข้าชุมนุมกันผมได้ไปร่วมรายงานข่าวอย่างใกล้ชิดแต่กลับถูกรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวหาว่าเป็นกบฏ ไม่ถูกกล่าวหา ผมไม่เคยโวยวายไม่เคยร้องขอความเป็นธรรมก็ก้มหน้าก้มตาไปสู้กันในศาลว่าไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม

 

แตกต่างจากนักการเมืองทั้งหลายแล้วครับพอโดนขั้นตอนตามกฎหมายกันไปบ้างแม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเก่าเก่าแบบทักษิณชินวัตรหรือแม้แต่นักการเมืองหน้าใหม่อย่าง  ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อาชีพนักการเมืองดูเหมือนว่าจะเป็นอาชีพผู้คนส่วนในสังคมรังเกียจแต่คนจำนวนน้อยนะครับก็กระเสือกกระสนเข้าไปเพราะอะไรเหรอครับก็เพราะว่ามันมีอำนาจมีผลประโยชน์อยู่ในมือหลังจากที่ได้ตำแหน่งสส.หรือตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วและไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้นยังสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปยังพวกพ้องให้ร่ำรวยและเป็นใหญ่เป็นโตไปตามๆกัน

อาจจะเป็นเพราะความเอือมระอาดังกล่าวจึงทำให้ประชาชนเลือกพรรคอนาคตใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและนายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งได้รับการตอบสนองจากประชาชนเป็นอย่างดี เพราะเบื่อนักการเมืองเก่าๆน้ำเน่า เมื่อพรรคการเมืองใหม่ๆเสนอคนหน้าใหม่เข้ามาสู่การเมืองทั้งสิ้น ประชาชนก็ให้ความเชื่อถือเชื่อมั่นลงคะแนนให้

ผมเคยเรียนกันท่านผู้ชมนะครับว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและนายปิยบุตร แสงกนกกุล จะเป็นอันตรายต่อสังคมไทยในระยะยาว

 

เพราะคนหนึ่งทุนนิยมจ๋าประกาศชัดเจนจะทำอะไรต้องใหญ่ ต้องมีทุนถึงจะไปต่อสู้ได้ มาทำแบบแนวเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ ไม่สามารถแข่งขันกับโลกได้ อีกคนก็ต้องประชาธิปไตยแบบตะวันตก และที่สำคัญในหมวดของพระมาหากษัตริย์นั้น เขาพูดจาออกมาชัดเจนว่าไม่ยอมรับคำแปลจากประชาธิปไตยของฝรั่งที่ไทยมาแปลว่าประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่จะต้องแปลให้มีความหมายว่าประชาธิปไตยที่อนุญาติให้พระมาหากษัตริย์มรอยู่

 

แน่นอนว่าผลการเลือกตั้ง 6.3 ล้านเสียงที่ได้มา เชื่อว่าคนจำนวนมากไม่รู้ถึงความคิดลึกๆของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและนายปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าคืออะไรโดยเฉพาะเรื่องสถาบันพระมาหากษัตริย์ถ้ารู้ผลเลือกตั้งจะออกมาเป็นแบบนี้อีกหรือไม่ ก็เป็นที่น่าสงสัยอยู่

 

"ธนาธร" รู้ไว้แผ่นดินนี้มีพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง(บวกกับฝีมือสำนักข่าวอิศรา)

 

แต่ที่แน่นอนที่สุด ขณะที่ยังไม่ได้เป็น สส.เป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่เมื่อถึงเวลาที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเรื่องกลไกการกฎหมายก็มีพฤติกรรมเหมือนนักการเมืองเก่าๆเดิมๆแต่อย่างใด

แต่ในคดีของนายธนาธร ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้คือเรื่องการถือหุ้นและโอนหุ้นของบริษัทวิลัคมิเดีย ท่านผู้ชมก็คงจำได้  กรณีของนายทักษิณ     ชินวัตรก็เป็นแบบนี้แหละครับ โอนกันไปโอนกันมา เพื่อกลบเกลื่อน เพื่อปิดบัง เพื่ออำพลาง กรณีของนายธนาธร ผมจะสรุปง่ายๆเป็นภาพชัดๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นไม่ได้ไปลงซับซ้อนรายละอียดของตัวหุ้น บริษัทวิลัคมิเดียเป็นบริษัทที่ทำธุกิจด้านสื่อ

 

ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) ได้กำหนดเอาไว้ว่าบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวงเล็บ(3) ได้กำหนดเอาไว้ว่าเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ถ้าใครฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งมาตรา151 มีโทษจำคุกตั้งแต่1ปีถึง10 ปี ปรับ 20000-200000 และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา20ปี เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของธนาธรมีโอกาสที่จะติดคุกและถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง20ปีหากศาลชี้ว่าผิดจริงปรับ 20000-200000

"ธนาธร" รู้ไว้แผ่นดินนี้มีพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง(บวกกับฝีมือสำนักข่าวอิศรา)

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นมาจากสำนักข่าวอิสระ สำนักข่าวอิสระแน่นอนครับไม่ได้เป็นคู่กรณีหรือมีเรื่องโกรธเคืองกับนายธนาธรแบบสำนักข่าวทีนิวส์เดินหน้าเริ่มการเปิดโปง และเปิดเผยข้อมูล การออกมาเปิดเผยข้อมูลของสำนักข่าวอิสราเนี่ยนะครับ เกิดขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม 2562 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 2 วัน  ว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นอยู่ในบริษัทวีลัคมีเดีย และเพิ่งจะโอนหุ้นให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นแม่มาจดแจ้งต่อกระทรวงพานิชย์ในวันที่ 21 มีนาคม 2562

 

ถ้าตามข้อมูลดังกล่าวนี้ก็หมายความว่าการที่นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ไปสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่านี้แหละครับ ร้อนเป็นไฟขึ้นมาทันที เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว และไม่มีใครไปตั้งเรื่อง ไม่มีใครไปหาเรื่องมากลั่นแกล้ง เป็นเรื่องของตัวเอง ที่สำนักข่าวอิสราไปค้นพบมา นายธนาธรจึงออกมาชี้แจงว่า ได้โอนหุ้นดังกล่าวให้นางสมพร ผู้เป็นแม่นะครับตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 แล้ว ซึ่งวันดังกล่าวเป็นวันก่อนจะรับสมัครเลือกตั้ง จึงไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

 

โดยได้แสดงหลักฐานการโอนหุ้นกันเองนะครับในครอบครัวแต่ไม่ได้แจ้งกระทรวงพานิชย์ ก็ตามที่สำนักข่าวอิสราได้รายงานครับว่า มีการมาจดแจ้งเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันหลังการรับสมัครเลือกตั้งแล้ว ต่อมาหลังจากที่นายธนาธรได้ชี้แจงไปแล้วว่าโอนหุ้นไปแล้ว สำนักข่าวอิสราก็มีข้อมูลมาเปิดเผยต่ออีกครับว่า แต่เดิมนี้บริษัทวีลัคมีเดียมีผู้ถือหุ้นอยู่ 10 ราย

ถ้านายธนาธรและภรรยาเนี่ยโอนหุ้นให้นายสมพรผู้เป็นแม่ไปแล้วเนี่ย ทำไมการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 มีนาคม 2562 จึงมีรายชื่อผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุม 10 คนเหมือนเดิม ทำไมไม่เหลือแค่ 8 คน เพราะนายธนาธรและภรรยาโอนหุ้นไปแล้ว ซึ่งต่อมาในวันที่ 2 เมษายน เนี่ยนะครับ วันสองวันที่ผ่านมา นายธนาธรก็ได้ออกมาชี้แจงว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่มี 10 คนนั้น

 

เพราะนางสมพรผู้เป็นแม่เนี่ยเอาหุ้นไปโอนให้กับหลาน 2 คน แต่ในบัญชีผู้ถือหุ้นที่แจ้งต่อกระทรวงพานิชย์นั้นยังมีผู้ถือหุ้นอยู่ 8 คนเหมือนเดิม ก็เพราะเมื่อนางสมพรโอนหุ้นให้กับหลาน 2 คนแล้ว และมีการประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว หลานก็โอนหุ้นคืนให้กับนางสมพรผู้เป็นแม่ของนายธนาธร แค่นี้พอมองเห็นไหมครับว่ามันคืออะไร ประชาชนโดยทั่วไปเนี่ยนะครับ

 

ไม่ต้องฉลาดเฉลียวลึกซึ้งแบบนายธนาธรก็ต้องสงสัยล่ะครับ ว่าจะโอนไปให้หลานทำไมแค่วันสองวัน แล้วก็โอนกลับมาอีก มันเป็นการไปทำอะไรที่อำพรางเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องที่แถลงหรือแจ้งหรือไม่ เพราะคนทั่วๆไปเขาไม่ทำหรอกครับ ประชุมผู้ถือหุ้นไม่จำเป็นต้อง 10 คน เหลือ 8 คนก็ประชุม 8 คนได้

 

แต่เนื่องจากสำนักข่าวอิสราเอาเรื่องนี้มาเปิดเผยหรือไม่จึงต้องทำให้บัญชีผู้ถือหุ้นครบ 10 คนเหมือนเดิม ข่าวของสำนักข่าวอิสราเนี่ยนะครับ เวลาเขาค้นคว้าข้อมูลเนี่ยนะครับ เขาชัดเจน เพราะฉะนั้นนายธนาธรก็บอกว่าตัวเองไม่อยู่ หาเสียงอยู่ที่สุราษฎร์ การประชุมผู้ถือหุ้นน่ะครับ ตัวเองไม่จำเป็นต้องมาหรอกครับ ให้คนอื่นมาแทนก็ได้ มอบอำนาจมานะครับ

 

ดังนั้นคำชี้แจงต่างๆในขณะนี้เนี่ยนะครับ ดูแล้วเนี่ยค่อนข้างที่จะมัดตัวอยู่ และที่สำคัญเนี่ยนะครับในกฎหมายแพ่งพานิชย์เนี่ยนะครับ ระบุเอาไว้ชัดเจนนะครับว่าการโอนหุ้นที่จะมีผลต่อบุคคลภายนอกนั้นก็ต่อเมื่อไปจดแจ้งต่อกระทรวงพานิชย์แล้ว การสมัครรับเลือกตั้ง กกต.เนี่ยเป็นบุคคลภายนอกนะครับ ไม่รู้หรอกครับว่านายธนาธรจะไปโอนกันเมื่อไหร่อย่างไร กกต.จะรับรู้ได้ในฐานะบุคคลภายนอกก็ด้วยหลักฐานทางราชการที่กระทรวงพานิชย์เท่านั้น

 

เอาล่ะครับจะผิดหรือไม่ผิดก็เป็นเรื่องของขั้นตอนทางกฎหมายกันต่อไป เพราะในขณะนี้ กกต.ได้รับเรื่องคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งไปร้องนายธนาธรเอาไว้แล้ว และได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงแล้ว ในเรื่องการถือหุ้นสื่อหรือเป็นเจ้าของสื่อเนี่ยนะครับ กรณีของนายธนาธรเนี่ยมันไม่ใช่มีเฉพาะกรณีบริษัทวีลัคมีเดียเพียงอย่างเดียวหรอกครับ

 

มันมีเรื่องเปรียบเทียบและถ้าย้อนกลับมาดูบริษัทวีลัคมีเดียก็จะเห็นภาพกันชัดเจนขึ้น ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจโดยนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของนายธนาธรนะครับ ถือหุ้นอยู่ในบริษัทมติชนเป็นลำดับ 2 รองจากคุณขรรค์ชัย บุนปาน และได้ส่งนายธนาธรเข้าไปเป็นกรรมการนานหลายปีทีเดียวล่ะครับ เมื่อนายธนาธรเตรียมเล่นการเมือง ก็ได้ลาออกจากกรรมการบริษัทมติชนตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2561 เห็นไหมครับ เขารู้ว่าไม่สามารถที่จะเป็นกรรมการในบริษัทมติชนได้ จึงลาออกก่อนถึง 1 ปี นะครับ

 

เพราะหากยังอยู่ในบริษัทมติชนก็เข้าค่ายความผิด บริษัทมติชนเป็นบริษัทใหญ่นะครับ เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าใครเข้าไปบริหาร ใครเข้าไปเป็นกรรมการ ดังนั้นการลาออกของนายธนาธรจึงเห็นได้ว่ารับรู้เรื่องกฎหมายและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่มาเปรียบเทียบกับบริษัทวีลัคมีเดียเนี่ยนะครับ ท่านผู้ชมครับ มันเป็นบริษัทเล็กๆนะครับ ทำนิตยสารฉบับสองฉบับ ผลประกอบการก็ไม่ดี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเศรษฐีใหญ่ มีบริษัทอยู่ในมือมากมายนับร้อย

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาจจะหลงหูหลงตา ว่ามีบริษัทที่ทำให้เข้าข่ายผิดกฎหมายได้ เมื่อมาเห็น มารู้ ก็ทำการโอนและไปจดแจ้งที่กระทรวงพานิชย์ เผอิญสำนักข่าวอิสราไปพบเข้า จึงกลายมาเป็นประเด็น ต้องมีการชี้แจงว่าได้มีการโอนหุ้นก่อน ส่วนจะเป็นการทำย้อนหลังหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่กฎหมายต้องไปหาข้อเท็จจริง แต่จะทำย้อนหลังหรือย้อนหน้าอย่างใดก็ตามแต่นะครับ คำพิพากษาศาลฎีกานะครับเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ได้ตอกย้ำเอาไว้ชัดเจนว่าการโอนหุ้นจะมีผลต่อบุคคลภายนอกก็ต้องมีการจดแจ้งต่อกระทรวงพานิชย์เท่านั้น ลองพิจารณาดูนะครับว่าวันนี้นายธนาธรเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วหรือไม่นะครับ

 

ไม่ใช่เฉพาะคดีนี้นะครับ รวมทั้งคดีที่ไปช่วยนายรังสิมัน โรม ซึ่งได้มีการแจ้งความและออกหมาย พอมีประเด็นที่ทำท่าว่าจะผิดกฎหมายขึ้นมี ก็เอามวลชนมาขู่ทันที ย้ำนะครับ เอามวลชนมาขู่ทั้งๆที่ตัวเองทำผิดกฎหมายจริง นี่เดินตามรอยนายทักษิณ ชินวัตรชัดเจนครับ และการเอามวลชนมาขู่นะครับ นี่คือการทำให้สังคมแตกแยก เพราะคิดว่ามีคน 6.3 ล้าน เลือกตัวเอง และอีกฝั่งอีกฝ่ายไม่มีคนเป็นสิบๆล้านเลือกเหรอครับ มันเท่ากับเป็นการพูดเพื่อให้ประชาชนเนี่ยมาเผชิญหน้ากัน สร้างความแตกแยกในสังคม แต่ไม่เคยโทษตัวเองหรอกครับ มีแต่โทษคนอื่น กล่าวหาคนอื่นว่าทำให้สังคมแตกแยก ท่านผู้ชมก็ใคร่ครวญพิจารณา

 

เรื่องนี้เนี่ยนะครับผมเรียนว่าน่าจะเป็นผลงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลประเทศไทย เป็นผลงานของพระสยามเทวาธิราชครับ ถึงทำให้สำนักข่าวอิสราไปค้นพบข้อมูลนี้ ตัดสิทธิ์การเมือง 20 ปี จำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000 – 200,000 บาท ผลพิสูจน์ทางกฎหมายจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ติดตามกันครับ และถ้าผลเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใดนะครับ ทำตัวเป็นลูกผู้ชาย ยอมรับ เดินตามกระบวนการยุติธรรม อย่าได้ไปเที่ยวปลุกม็อบ ปลุกระดมผู้คนขึ้นมา

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-ชำแหละขบวนการแทรกแซงกองทัพ โดย "สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม"
-"ธนาธร หน.อนาคตใหม่" กับ 9 ข้อสงสัย ส่อโอนหุ้น "วีลัค" ย้อนหลัง?