แอมเนสตี้ร่อนจม.ถึงบิ๊กแป๊ะ ห้ามตร.ดำเนินคดีม็อบปลดแอก ถอนฟ้องคดีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ล่าสุด แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หรือ องค์การนิรโทษกรรมสากล ประเทศไทย ได้โพสต์บทความจดหมายเปิดผนึกถึงพล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่อง เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างที่มีการชุมนุมในพื้นที่ต่างๆ โดยเคารพและคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของประชาชน ทั้งยังต้องดูแลให้การชุมนุมสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล รับประกันความปลอดภัยและมั่นคงของผู้ชุมนุม รวมถึงให้งดเว้นการฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญาต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม ยุติการคุกคามและข่มขู่ประชาชนเพียงเพราะไปเข้าร่วมการชุมนุม และหยุดการคุกคามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ทั้งนี้เพราะมีการรายงานจากผู้ชุมนุมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าพบผู้ชุมนุมและครอบครัวถึงที่พักของพวกเขา พร้อมทั้งตักเตือนไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมด้วย

นับวันการชุมนุมของ "กลุ่มเยาวชนปลดแอก - Free YOUTH" ในการเรียกร้อง 3 ข้อต่อรัฐบาล  ท่ามกลางภาพแทรกซ้อนแสดงให้เห็นว่าม็อบที่จัดตั้งขึ้นนี้มีอีกหนึ่งอุดมการณ์ความผิดแฝงเร้น ต่อการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์สอดแทรกอยู่ด้วย ยิ่งดูเหมือนว่า ประเด็นนี้จะยิ่งลุกลามและทวีคูณในด้านลบมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่ามาถึงจุดจบง่ายๆ 

ล่าสุด แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หรือ  องค์การนิรโทษกรรมสากล ประเทศไทย  ได้โพสต์บทความจดหมายเปิดผนึกถึงพล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่อง เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างที่มีการชุมนุมในพื้นที่ต่างๆ โดยเคารพและคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของประชาชน ทั้งยังต้องดูแลให้การชุมนุมสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล รับประกันความปลอดภัยและมั่นคงของผู้ชุมนุม รวมถึงให้งดเว้นการฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญาต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม ยุติการคุกคามและข่มขู่ประชาชนเพียงเพราะไปเข้าร่วมการชุมนุม และหยุดการคุกคามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ทั้งนี้เพราะมีการรายงานจากผู้ชุมนุมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าพบผู้ชุมนุมและครอบครัวถึงที่พักของพวกเขา พร้อมทั้งตักเตือนไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมด้วย 

 

แอมเนสตี้ร่อนจม.ถึงบิ๊กแป๊ะ ห้ามตร.ดำเนินคดีม็อบปลดแอก ถอนฟ้องคดีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน


โดย มิง ยู ฮา รองผู้อำนวยการ สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เผยว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องรับรองว่า สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบต้องได้รับการเคารพ คุ้มครอง สนับสนุน และทำให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยปราศจากการแบ่งแยกทุกประเภท รวมถึงในเรื่องความคิดเห็นทางการเมือง ทางการไม่ควรแทรกแซงหรือจำกัดสิทธิเหล่านี้ตามอำเภอใจ ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รับรองและอำนวยให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบด้วย 

 

โดยย้ำว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ตระหนักถึงการระบาดของโรคโควิด-19 ว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับโลก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการตอบรับในรูปแบบที่มีการประสานเชื่อมต่อและอยู่ในระดับที่กว้างขวาง เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน โดยเรียกร้องทางการไทยว่าหากมีการดำเนินมาตรการใดๆ ที่จำกัดสิทธิมนุษยชนในช่วงวิกฤตินี้ควรทำเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วนเท่านั้น

 

แอมเนสตี้ร่อนจม.ถึงบิ๊กแป๊ะ ห้ามตร.ดำเนินคดีม็อบปลดแอก ถอนฟ้องคดีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
 

“เราขอเรียกร้องให้ท่านรับรองว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาระเบียบและคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 โดยดำเนินการตรวจตราดูแลให้การชุมนุมโดยสงบสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหมายรวมถึงให้งดเว้นการฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญาต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสงบ รับประกันความปลอดภัยและมั่นคงของผู้ชุมนุม และให้พวกเขาสามารถใช้สิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบได้”  

 

แอมเนสตี้ร่อนจม.ถึงบิ๊กแป๊ะ ห้ามตร.ดำเนินคดีม็อบปลดแอก ถอนฟ้องคดีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

 

 

ทั้งนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถอนฟ้องคดีอาญาต่าง ๆ ที่ยื่นเพื่อเอาผิดประชาชนจำนวนมาก ทั้งนักเรียน นักศึกษาและนักกิจกรรมทางการเมือง เพียงเพราะพวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ คดีเหล่านี้หมายรวมถึงกรณีที่เกิดขึ้นจากการละเมิดข้อห้ามเรื่องการชุมนุมสาธารณะภายใต้มาตราที่ 9 (2) ของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 และทางการได้ประกาศว่ากำลังจะยกเลิกการบังคับใช้ในเกือบทุกกรณี ผู้เข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบได้ปฏิบัติตามมาตรการเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน รวมถึงใส่หน้ากากและเว้นระยะห่างทางกายภาพระหว่างกันและกัน 

 

ท้ายสุดแอมเนสตี้ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพการเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ ที่สอดคล้องกับหลักการในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่ต้องสลายการชุมนุมซึ่งผิดกฎหมายแต่ไม่ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง หรือหากเป็นไปไม่ได้ต้องงดเว้นเอาไว้ หรือใช้ให้น้อยที่สุดในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น

 

แอมเนสตี้ร่อนจม.ถึงบิ๊กแป๊ะ ห้ามตร.ดำเนินคดีม็อบปลดแอก ถอนฟ้องคดีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน


ก่อนหน้านั้น แอมเนสตี้ ได้โพสต์บทความ วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน   มีรายละเอียดบางช่วงตอนระบุว่า   "เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม  แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการประกาศพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) โดยประกาศว่าสิ่งใดที่ประชาชนควรทำ (Do) และสิ่งใดที่ไม่ควรทำ (Don’t) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.63 เป็นต้นไป  เพื่อเป็นไปตามการคุ้มครองในสิทธิ เสรีภาพและความปลอดภัยของประชาชน แอมเนสตี้ี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยจึงอยากชวนมาดูว่า แล้วอะไรบ้างคือสิ่งที่รัฐบาลควรทำและไม่ควรทำในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้" 

 

แอมเนสตี้ร่อนจม.ถึงบิ๊กแป๊ะ ห้ามตร.ดำเนินคดีม็อบปลดแอก ถอนฟ้องคดีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

อ่านข่าว - แอมเนสตี้ โผล่วิจารณ์พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมโควิด อ่านแล้วชวนไล่พ้นปท.