รวบแล้วโจรขโมย"เครื่อง AED" ราคาจริง70,000 เอาไปขายต่อเครื่องละ 12,000

   กรณีโจรขโมยเครื่อง AED หรือ เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ รอบกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลถึง 27 เครื่อง ล่าสุดมีรายงานว่าได้มีผู้ที่นำเครื่องกระตุกหัวใจดังกล่าวมาคืนไว้ที่ สน.ตลิ่งชัน จำนวน 7 เครื่อง 

และในวันที่ 26 ม.ค.66    ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน  พลตำรวจตรีธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล  ระบุว่า ความคืบหน้าตอนนี้ ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาขโมยเครื่อง AED ได้2 ราย คือ

1.นายรุ่งโรจน์ ละออแช่ม หรือเหน่งตาเดียว อายุ 37 ปี

2.นายวีรยุทธ นนท์ปาน หรือแจ็ค อายุ 32 ปี

 โดยนายรุ่งโรจน์ จะทำหน้าที่ขโมยเครื่องกระตุกหัวใจ และส่งให้ นายวีรยุทธ ทำหน้าที่กระจายของออกขาย ไปให้กับกลุ่มอาสาสมัครที่ต้องการซื้อผ่านทางออนไลน์ หรือการบอกปากต่อปาก

    พฤติการณ์ก่อเหตุ นายรุ่งโรจน์จะเป็นผู้ลักทรัพย์มาและนำมาขายให้กับนานวีรยุทธ ในราคา เครื่องละ 12,000 บาท ก่อนที่นายวีรยุทธ จะขายกระจายออกไปให้กับกลุ่มอาสาสมัคร ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ในราคา 13,000-15,000 บาท อีกทอดหนึ่ง ขณะที่ในส่วนของราคาจริงๆของเครื่องนี้จะอยู่ที่ประมาณ 70,000 บาท 

 ซึ่งขณะนี้สำหรับเครื่องกระตุกหัวใจที่เครือข่ายที่ 1 รับสารภาพว่าก่อเหตุไป มี ทั้งสิ้น 6 จุด 6 เครื่อง สามารถติดตามกลับมาได้แล้ว 4 เครื่อง อีก 2 เครื่องอยู่ระหว่างประสานให้นำเข้ามาส่งคืน ทราบว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเดินทางมา 

  พลตำรวจตรีธีรเดช ระบุอีกว่า ขณะนี้ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีการสั่งการให้ทางกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามเครื่องกระตุกหัวใจที่สูญหายไปทั้งหมดเนื่องจากเหตุเกิดในหลายพื้นที่ และเพื่อความสะดวกแก่การติดตามจับกุมและการดำเนินคดี

   โดยขอฝาก ประชาสัมพันธ์ถึงพี่น้องประชาชนหากท่านใดพบเห็นเครื่องกระตุกหัวใจลักษณะดังกล่าวมีการบอกขายจากกลุ่มคนใดให้ส่งข้อมูลมาทางกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ทันที

  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหานายรุ่งโรจน์  ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ส่วนนายวีรยุทธแจ้งข้อหารับของโจร โดยทั้งสองเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งสองให้การรับสารภาพว่าทำไปเพราะต้องการเงิน เมื่อเห็นว่าสามารถหาเงินจากช่องทางนี้ได้จึงก่อเหตุซ้ำ 

 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่ thainews