- 06 พ.ย. 2568
มาตามคำขอ "นักร้องเวทีดัง" ออกรายการดัง แจงปมเบี้ยวค่าซองก๋วยเตี๋ยว จนผู้เสียหายโผล่เพียบ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันในรายการ
มาออกรายการตามคำเรียงร้องสำหรับ "น้ำแข็ง เอเอฟ 7" ที่ได้ควงทนายความส่วนตัว ชี้แจงใน รายการโหนกระแส ซึ่งยังมี พี่หมวย อริสรา กำธรเจริญ รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการแทน พี่หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ที่ยังรักษาอาการป่วยอยู่ ซึ่ง น้ำแข็ง ได้มาอธิบายปมถูกแฉไม่จ่ายหนี้ธุรกิจก๋วยเตี๋ยว "เลอรส" ยอมรับการบริหารเงินผิดพลาด แต่ยื่นข้อเสนอขอเวลา 2-3 ปีเคลียร์หนี้ทั้งหมด แลกกับการหยุดโจมตีแบรนด์
ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้เสียหาย ทั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ ดีลเลอร์ และเพื่อนนักร้อง ที่กล่าวหาน้ำแข็ง เอเอฟ 7 และภรรยา เจ้าของธุรกิจก๋วยเตี๋ยว “เลอรส” ว่าสั่งสินค้าและยืมเงินแล้วไม่ชำระ โดยในรายการวันนี้ น้ำแข็งพร้อมทนายแชมป์ได้เข้ามาชี้แจง
โดย น้ำแข็งระบุว่า ธุรกิจเลอรสดำเนินมา 6 - 7 ปี ภรรยาเป็นผู้สร้างแบรนด์และสูตร ตัวเองเพิ่งเข้ามาช่วยช่วงปีเศษ และค้นพบปัญหาสะสม 3 ด้าน ได้แก่ การบริหารเงินผิดพลาด การทุจริตภายใน และปัญหาการตัดสินใจของภรรยา ซึ่งมีความใจอ่อนและใจร้อนจนทำให้ยอมขายสินค้าให้ดีลเลอร์ในราคาต่ำเกินไป สุดท้ายเกิดการตัดราคากันเองจนตลาดเสียหาย
กรณีหนี้จากโรงงานแพคเกจจิ้ง 4.7 ล้านบาท น้ำแข็งชี้แจงว่า การสั่งผลิตซอง 1 ล้านซอง ตกลงกันว่าจะทยอยรับครั้งละ 20,000 - 30,000 ซอง แต่ทางโรงงานส่งมาลอตแรกถึง 100,000 ซอง ทำให้จ่ายไม่ไหว อีกทั้งเอกสารภายในบริษัทหายไปเนื่องจากมีคนเอาออก จึงขอให้คู่ค้านำหลักฐานมาแสดง ส่วนเงินยืมจากผ้าแพรและบุคคลอื่น น้ำแข็งยืนยันว่ามีการทำเอกสารรับสภาพหนี้แล้ว และตั้งใจจะทยอยคืนทั้งหมด ขอเพียงเวลา
ด้านกรณีดีลเลอร์รายใหญ่ ฝ้าย เสียหาย 5.25 ล้านบาท น้ำแข็งกล่าวว่า ฝ้ายเคยได้ผลประโยชน์ขณะธุรกิจเติบโต ทั้งโบนัส ทอง และไอโฟน แต่เมื่อเกิดปัญหากลับหันมาฟ้องร้อง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ฝ้ายเคยเป็นคู่แข่งกับดีลเลอร์อีกคน แต่กลับจับมือกันออกมาเรียกร้องในตอนนี้
ขณะเดียวกัน ฝ้ายโต้ว่า ไม่เคยขายสินค้าต่ำกว่าราคาฐาน พร้อมเปิดคลิปเสียงภรรยาน้ำแข็งที่กล่าวทำนองให้ดีลเลอร์ตัดราคากันเอง ซึ่งฝ้ายชี้ว่าเป็นเจตนาของแบรนด์ ไม่ใช่การกระทำของดีลเลอร์
น้ำแข็งตอบว่า บริษัทไม่มีเหตุผลจะให้ดีลเลอร์ตัดราคากันเอง เพราะสุดท้ายธุรกิจจะเสียหายเอง
นอกจากนี้ น้ำแข็งยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ฝ้ายโทรมาเร่งรัดหนี้ในช่วงที่พ่อป่วยหนักจนล้มเข้าโรงพยาบาล ทำให้รู้สึกว่าเป็นการกดดันเกินควร
ทนายแชมป์ระบุว่า หากธุรกิจยังเดินต่อได้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ในการทยอยคืนหนี้ทั้งหมด จึงขอให้คู่ค้าและผู้เสียหายหยุดการดิสเครดิต เพราะจะยิ่งทำให้ธุรกิจเดินต่อไม่ได้ และคืนหนี้ไม่ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฝั่งผู้เสียหายเห็นว่า ระยะเวลา 2-3 ปีนานเกินไป และสิ่งที่รับไม่ได้คือ การไม่สื่อสารตรงไปตรงมาว่าจ่ายไม่ได้ตั้งแต่แรก
ระหว่างการสนทนา เจ้าของโรงงานแพคเกจจิ้งได้ตำหนิน้ำแข็งและทนายว่า ควรฟังให้จบ ไม่แทรกขณะผู้อื่นพูด พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า เงินที่นำมาหมุนในธุรกิจเป็นเงินของบริษัทจริง หรือเป็นการนำเงินจากดีลเลอร์รายอื่นมาใช้หมุนแทน ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกผิดหวังมากที่สุด
เมื่อบรรยากาศตึงเครียด ทนาย ศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ต้องขอให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาคุยกันถึงทางออก โดยสอบถามฝั่งน้ำแข็งถึงกรอบเวลาและจะให้ความมั่นใจเจ้าหนี้ได้อย่างไร ทนายแชมป์ตอบว่า เท่าที่ทราบมีเจ้าหนี้เพียงเท่านี้ และคาดว่าหากยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จะสามารถหาเงินมาคืนทุกคนได้หมดภายใน 2-3 ปี จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกคนว่าอย่าดิสเครดิต หรือทำลายช่องทางทำธุรกิจของเลอรส เพราะถ้าหากหาเงินไม่ได้ ก็จะไม่สามารถใช้หนี้ได้






