ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย

คาดไม่ถึง "ข้าวโพด" บอกแบบไม่อ้อมค้อม ก่อนโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ "นานา ไรบีนา" ได้มั้ย หลังโดนไปหลายล้าน

ตามกันต่อกับเรื่องของ นานา ไรบีนา ซึ่งล่าสุดรายการโหนกระแสวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ซึ่งดำเนินรายการโดย หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เปิดรายการด้วยประเด็นร้อนกรณีมรสุมชีวิตของ นานา ไรบีนา ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. คุมตัวไปสอบสวนในคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งหนุ่ม กรรชัย ได้เกริ่นนำว่าสถานการณ์ล่าสุดของนานาคือตกเป็นผู้ต้องหาเรียบร้อยแล้ว 
 

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย

 

โดยในชั้นสอบสวนเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 68 นานาไม่สามารถประกันตัวได้เนื่องจากต้องวางหลักทรัพย์สูงถึง 50 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจาก 1 ใน 3 ของมูลค่าความเสียหายรวมที่ตำรวจประเมินไว้ราว 195 ล้านบาท ทำให้ในวันนี้ต้องมีการส่งตัวไปฝากขังที่ศาล และต้องลุ้นว่าจะได้รับการประกันตัวในชั้นศาลหรือไม่ โดยคาดว่าหลักทรัพย์จะลดลงเหลือประมาณหลักล้านบาท แต่ก็มีความเสี่ยงที่ศาลอาจจะไม่ให้ประกันเนื่องจากมูลค่าความเสียหายสูงและเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน


ในรายการวันนี้มีแขกรับเชิญมาร่วมพูดคุยคือ ทนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของผู้เสียหาย ทนายมนต์ชัย จงไกรระตนกุล หรือทนายแก้ว ที่มาให้ความเห็นด้านกฎหมาย และ ดีเจบอย ฌาฆฤณ ชุมมิ่ง เพื่อนสนิทของนานา โดยหนุ่ม กรรชัย เริ่มถามดีเจบอยก่อนถึงความสัมพันธ์ ซึ่งบอยเล่าว่าสนิทกับนานามาเกือบ 30 ปี ตั้งแต่สมัยจัดรายการวิทยุด้วยกัน จนถึงปัจจุบันก็ยังติดต่อกันตลอด 

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย


แต่ยอมรับว่าเพิ่งทราบเรื่องราวปัญหาการเงินของนานาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะเป็นข่าวใหญ่ โดยรู้ก่อนหน้าดีเจดาด้าเพียงเล็กน้อย บอยยืนยันว่าไม่เคยระแคะระคายมาก่อน เพราะไลฟ์สไตล์ของนานาดูปกติ ไม่ได้ฟู่ฟ่าผิดสังเกต และนานาไม่เคยมาขอยืมเงินหรือชวนลงทุน เพราะรู้ว่าบอยไม่ใช่คนสนใจเรื่องธุรกิจ แต่ยอมรับว่าช่วงหลังเห็นนานาดูเครียดและแววตาดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดแม้จะยิ้มแย้มในไลฟ์สดก็ตาม

 

ทางด้านทนายสวัสดิ์ ตัวแทนของผู้เสียหาย 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ข้าวโพด สมิทธินันท์ เพื่อนสนิทในแก๊งนางฟ้า ได้เล่าถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นว่า นานาได้ไปชักชวนเพื่อนๆ ให้มาร่วมลงทุน โดยอ้างว่ารู้จักกับบุคคลหนึ่งที่ปล่อยเงินกู้และให้ผลตอบแทนดีมาก มีดอกเบี้ยสูงถึง 4-7 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน เพื่อนๆ จึงหลงเชื่อและโอนเงินไปลงทุนผ่านบัญชีของนานาและบัญชีอื่นๆ อีกหลายบัญชี 
 

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย

นอกจากนี้ยังมีการชักชวนให้ไปลงทุนในหุ้นด้วย โดยทนายยืนยันว่ารูปแบบนี้คือการชักชวนไป "ลงทุน" เพื่อนำเงินไปปล่อยต่อ ไม่ใช่การที่นานามาขอยืมเงินส่วนตัว ซึ่งประเด็นนี้มีความสำคัญมากในทางกฎหมาย เพราะฝ่ายนานาพยายามจะต่อสู้คดีว่าเป็น "การกู้ยืมเงิน" ซึ่งเป็นคดีแพ่ง และอ้างว่าได้จ่ายดอกเบี้ยไปเกินเงินต้นแล้วจึงถือว่าหนี้ระงับ แต่ฝ่ายผู้เสียหายยืนยันว่าเป็น "การฉ้อโกง" เพราะถูกหลอกว่ามีการนำเงินไปลงทุนกับบุคคลที่สามซึ่งไม่มีตัวตนจริง

 

หนุ่ม กรรชัย ได้เปิดเผยข้อมูลจากฝั่งนานาที่ส่งมาโต้แย้ง โดยนานาอ้างว่าทำสัญญารับสภาพหนี้กับข้าวโพดไว้ 70 ล้านบาท แต่ได้จ่ายเงินคืนกลับไปแล้วถึง 71 ล้านบาท ซึ่งในมุมของนานามองว่าจ่ายครบแล้ว แต่ทนายสวัสดิ์โต้แย้งทันทีว่า เงินที่จ่ายกลับมานั้น ผู้เสียหายมองว่าเป็น "ผลตอบแทนจากการลงทุน" หรือเป็น "เหยื่อล่อ" เพื่อให้ตายใจและยอมลงเงินเพิ่มก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

 

โดยเฉพาะข้าวโพดคนเดียวมียอดเงินโอนออกไปสูงถึง 116 ล้านบาท แม้จะได้กลับมา 71 ล้านบาท แต่ส่วนต่างที่หายไปก็ยังสูงมาก และเงิน 71 ล้านที่ได้รับกลับมานั้น บางส่วนข้าวโพดต้องโอนต่อไปให้ผู้เสียหายรายอื่นตามคำสั่งของนานาด้วย ทำให้เงินไม่ได้อยู่ที่ข้าวโพดจริงๆ

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย

เรื่องราวเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการเปิดเผยถึงพฤติการณ์การ "จับโป๊ะ" โดยทนายสวัสดิ์และหนุ่ม กรรชัย เล่าว่า เมื่อเพื่อนๆ เริ่มทวงถามเงินคืน นานาได้อ้างว่าบัญชีของตนและสามีถูก ปปง. อายัด ทำให้ไม่สามารถเบิกเงินออกมาได้ พร้อมทั้งนำเอกสารที่อ้างว่าเป็นของ ปปง. มาแสดงให้เพื่อนดูในโทรศัพท์ แต่เมื่อเพื่อนๆ ไปตรวจสอบกับทาง ปปง. กลับพบว่าไม่มีการอายัดบัญชีใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องโกหก 


นอกจากนี้ นานายังได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 5 ใบ โดยอ้างว่าเป็นเช็คจาก "นายทุน" ที่นำเงินไปปล่อยกู้ เพื่อค้ำประกันให้เพื่อนสบายใจ แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเช็คชื่อของ "เวย์" สามีของนานา และลายเซ็นที่เซ็นในเช็คก็เป็นลายมือของนานาเอง โดยมีพนักงานบัญชีบริษัทเป็นคนเขียนรายละเอียดในเช็ค ซึ่งเป็นการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาเพื่อตบตาเพื่อน

 

จุดพีคสำคัญของรายการเกิดขึ้นเมื่อหนุ่ม กรรชัย นำหลักฐานเด็ดออกมาแสดง เป็น "สลิปโอนเงิน" ที่นานาส่งให้ข้าวโพดเพื่อยืนยันว่าได้โอนเงินไปให้นายทุนบุคคลที่สามแล้ว โดยเมื่อนำสลิป 2 ใบที่โอนต่างวันและต่างยอดเงิน (ใบหนึ่ง 1.9 ล้าน อีกใบ 9.8 แสน) มาเทียบกัน ปรากฏว่า "รหัสอ้างอิง" (Reference Number) บนสลิปทั้งสองใบเป็นเลขชุดเดียวกันทุกตัวอักษร ซึ่งในทางเทคนิคเป็นไปไม่ได้ที่การทำธุรกรรมคนละครั้งจะมีรหัสอ้างอิงซ้ำกัน หลักฐานนี้ชี้ชัดว่ามีการปลอมแปลงสลิปเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายว่ามีการนำเงินไปลงทุนจริง ทั้งที่ความจริงเงินอาจจะไม่ได้ถูกโอนไปไหน หรือถูกนำไปใช้ส่วนตัว

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย

 

ในช่วงท้ายรายการ ได้มีการโฟนอินสัมภาษณ์สด ข้าวโพด สมิทธินันท์ ผู้เสียหายที่เป็นเพื่อนสนิทของนานา ข้าวโพดเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่ารักและไว้ใจนานามาก เปรียบเสมือนคนในครอบครัว รู้จักกันมา 8 ปี สนิทกันจนถึงขั้นลูกๆ เรียนที่เดียวกันและเป็นเพื่อนรักกัน จุดเริ่มต้นคือเห็นนานาเป็นคนขยันทำธุรกิจ จึงยอมร่วมลงทุนด้วยเมื่อนานามาชักชวน โดยนานาอ้างชื่อบุคคลต่างๆ (เช่น นางนก นางหนู) ว่าเป็นแหล่งปล่อยเงินกู้ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นชื่ออุปโลกน์ ข้าวโพดทำหน้าที่เป็นเหมือนเลขาส่วนตัว ช่วยจดบันทึกยอดเงินต่างๆ ให้นานา ช่วงแรกได้ผลตอบแทนดี 7% แต่ต้องรีบโอนเงินลงทุนเพิ่มทันทีที่ได้คืนมา เพราะนานาจะกดดันว่ามีลูกค้ามารอแล้ว

 

ข้าวโพดเล่าถึงความเจ็บปวดว่า ช่วงที่นานาอ้างว่าถูก ปปง. อายัดบัญชี ตนสงสารเพื่อนมาก ถึงขนาดให้ยืมบัตรเครดิตไปใช้ และยังไปขอยืมเงินจากน้าของตัวเองมาให้นานาใช้อีก 5 ล้านบาท จนตอนนี้ตัวเองต้องเป็นหนี้แทน เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างหนัก เงินเก็บที่หามาทั้งชีวิตตั้งแต่อายุ 15 หายไปหมด เคยปรึกษากับสามีถึงขั้นจะให้ลูกลาออกจากโรงเรียนอินเตอร์เพราะเกรงว่าจะส่งเสียไม่ไหว 


แต่สามีข้าวโพดยืนกรานว่าจะยอมขายทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อรักษาไลฟ์สไตล์และความสุขของลูกไว้ เมื่อเห็นภาพนานาถูกจับกุม ข้าวโพดและสามีถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะทำกันได้ลงคอ ส่วนเรื่องสามีของนานาจะรู้เรื่องหรือไม่ ข้าวโพดให้ความเห็นส่วนตัวว่า สามีภรรยาที่ทำธุรกิจร่วมกันและนอนเตียงเดียวกัน เป็นไปได้ยากที่จะไม่รู้เรื่องสถานะทางการเงินของครอบครัว

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย

 

"จุดที่จะกลับไปเป็นเพื่อนกันเนี่ย ไม่มีทางและไม่มีวันอยู่แล้วค่ะ แต่ข้าวโพดยืนยัน สวดมนต์ให้เขาและครอบครัวเขาทุกวัน ให้ผ่านจุดนี้ไป ให้เขามีสติ ว่าเขาจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะทุกวันนี้ ถ้าจะมาเล่นแบ่งกันข้าวโพด ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความจริง พูด 800 รอบ ก็ยังเป็นความจริง แต่ นานา พูดความจริง 10 เวอร์ชั่น คือ 12 เวอร์ชั่น ไม่เคยตรงกันแม้แต่เวอร์ชั่นเดียว" ข้าวโพดทิ้งท้าย

 

ในตอนจบ ทนายแก้วได้วิเคราะห์ข้อกฎหมายว่า คดีนี้เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน มีโทษจำคุก 5-10 ปี และหากมีการกระทำผิดหลายครั้ง (ต่างกรรมต่างวาระ) โทษจะถูกนำมาเรียงกัน ซึ่งอาจทำให้ติดคุกยาวนาน และหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ทรัพย์สินต่างๆ อาจถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด และหากล้มละลายจากการทุจริต จะไม่สามารถปลดล้มละลายได้ใน 3 ปีเหมือนคดีทั่วไป ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้ต้องรอการพิจารณาจากศาลและการประกันตัวของนานาต่อไป

 

ข้าวโพด ตอบทันที หลังโดนถาม จะกลับไปเป็นเพื่อนกับ นานา ได้มั้ย