- 30 ต.ค. 2559
ปฏิบัติการที่ใช้ชื่อซองการีส์ (Operation Sangaris) ของฝรั่งเศส เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกากลางจะปิดฉากลงอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ฌ็อง อีฟส์ เลอ ดริยง รัฐมนตรีกลาโหมของฝรั่งเศส ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนแอฟริกากลางประกาศในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม ให้สัมภาษณ์ว่า ปฏิบัติการที่ใช้ชื่อซองการีส์ (Operation Sangaris) ของฝรั่งเศส เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกากลางจะปิดฉากลงอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังดำเนินมาตั้งแต่ปี 2013 พร้อมยืนยันปฏิบัติการทางทหารของฝรั่งเศสประสบความสำเร็จด้วยดี
กองกำลังรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (MINUSCA) และกองกำลังรักษาสันติภาพจากองค์การสหภาพแอฟริกัน (African Union : AU) จะเป็นผู้รับช่วงต่อภารกิจในการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆ ของแอฟริกากลาง รวมถึงในกรุงบังกีที่เป็นเมืองหลวงแอฟริกากลาง ต่อจากทหารฝรั่งเศส แต่ทางด้านฝรั่งเศส ก็ยังจะคงทหารเอาไว้ประมาณ 300 นาย
การยุติ ปฏิบัติการซองการีส์ในครั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากคำประกาศของประธานาธิบดี ฟรองซัวร์ ออลลองด์ ว่า จะยุติการแทรกแซงทางทหารต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสเคยมีกำลังทหารมากกว่า 2,500 นาย ที่ถูกส่งเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อย ในประเทศแห่งนี้ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
ที่ผ่านมากำลังทหารฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยยุติการเข่นฆ่ากันเป็นรายวันระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิมในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาในประเทศนี้มากกว่า 12,000 คน ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร รวมถึงพลเรือนชาวต่างชาติมากกว่า 500 คน
สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งติดอันดับหนึ่งในประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดและยากจนที่สุดในโลก ได้เข้าสู่ความขัดแย้งนองเลือด ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2013 หลังจากที่กลุ่มกบฏมุสลิมเซเลกา โค่นอำนาจรัฐบาลกลางในกรุงบังกี ที่นำโดยพวกชาวคริสต์ และเริ่มสังหารหมู่ชาวคริสต์แบบบ้าคลั่ง เป็นเหตุให้ชาวคริสต์ในแอฟริกากลางตั้งกลุ่มติดอาวุธแอนตี้-บาลากา ขึ้น เพื่อฆ่าล้างแค้นชาวมุสลิมบ้าง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ตามข้อมูลของสหประชาชาติ นั้นความขัดแย้งในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ส่งผลให้เกิดการอพยพภายในประเทศสูงกว่า 399,000 ราย ขณะที่ชาวแอฟริกากลางอีกมากกว่า 460,000 รายต้องหนีตายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวเอเอฟพี ภาพจาก weaponsandwarfare.com,defense-update.com