ไหวไหมลุง พรรคร่วมรัฐบาล ดัน "ฟรังก์ วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์" เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ "เยอรมนี"

พรรคร่วมรัฐบาลเยอรมนีสนับสนุนให้ นายฟรังก์ วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี วัย 60 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เรื่อง พรรคร่วมรัฐบาลเยอรมนีสนับสนุนให้ นายฟรังก์ วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี วัย 60 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ส่งผลให้เยอรมนีกำลังจะมีหนึ่งในผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 อย่างรุนแรง เป็นประมุขของประเทศ

ผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ของเยอรมนีต่อสู้งัดข้อกันมาเป็นเวลาหลายเดือนในเรื่องว่าจะเสนอชื่อใครให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีโยอาคิม เกาค์ อดีตบาทหลวงจากเยอรมนีตะวันออก วัย 76 ปีที่ก้าวลงจากตำแหน่งเนื่องจากอายุที่มากขึ้น

 

พรรคร่วมรัฐบาลกลุ่มแนวคิดอนุรักษนิยมที่อยู่ฝั่งนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เห็นพ้องที่จะเสนอชื่อนายสไตน์ไมเออร์ ซึ่งถือเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดของเยอรมนีในเวลานี้ ให้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปของเยอรมนี โดยนายสไตน์ไมเออร์ได้รับการผลักดันจากพรรคสังคมประชาธิปไตย (เอสพีดี) ที่เขาสังกัดอยู่

ทั้งนี้ นางแมร์เคิลที่ไม่สามารถหาตัวเลือกแนวคิดอนุรักษนิยมที่มีความเหมาะสมได้ ตัดสินใจหันมาสนับสนุนนายสไตน์ไมเออร์โดยระบุว่าเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผล ในการธำรงรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้

ด้านนายซิกมา กาเบรียล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี หัวหน้าพรรคเอสดีพีกล่าวว่า นายสไตน์ไมเออร์ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ในการสืบทอดความเป็นรัฐบุรุษที่ดีตามธรรมเนียมปฏิบัติของเยอรมนีนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

 

ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของเยอรมนีที่มีสถานะอยู่เหนือการเมืองและทำหน้าที่ในเชิงสัญลักษณ์ในฐานะประมุขของรัฐ จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ปีหน้าโดยการเลือกของคณะผู้แทนพิเศษจาก 16 รัฐของเยอรมนี

ทั้งนี้ นายสไตน์ไมเออร์ ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลเยอรมนีที่วิพากษ์วิจารณ์นายทรัมป์อย่างเปิดเผยและรุนแรงที่สุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเขาได้กล่าวเตือนนายทรัมป์หลังจากชนะการเลือกตั้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับยุโรปจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้น

 

 

เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก AFP