- 30 ม.ค. 2560
โฮเวิร์ด ชุลต์ซ ประธานและและผู้บริหารกลุ่มสตาร์บัคส์ ได้ส่งจดหมายถึงพนักงานซึ่งมีใจความว่า
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว โฮเวิร์ด ชุลต์ซ ประธานและและผู้บริหารกลุ่มสตาร์บัคส์ ได้ส่งจดหมายถึงพนักงานซึ่งมีใจความว่า ผมเขียนจดหมายถึงพวกคุณในวันนี้ด้วยความรู้สึกกังวล หนักใจ และด้วยคำมั่นสัญญาที่แน่วแน่ เรากำลังเผชิญยุคสมัยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นยุคที่เราได้เห็นสามัญสำนึกของประเทศชาติ และความฝันของอเมริกัน ถูกตั้งคำถาม
สตาร์บัคส์ได้ติดต่อไปยังพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งบริหารที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามประกาศใช้เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ม.ค. แล้ว โดยผู้ลี้ภัยที่มีสิทธิ์ได้รับการว่าจ้างตามแผนของบริษัท ได้แก่ ผู้ที่หนีภัยสงครามและการกดขี่ข่มเหงใน 75 ประเทศที่สตาร์บัคส์เข้าไปเปิดสาขาอยู่ โดยและเราจะเริ่มในสหรัฐฯ ก่อน โดยเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่ทำงานเป็นล่ามและบุคลากรสนับสนุนกองทัพสหรัฐฯ ในหลายๆ ประเทศ โดย สตาร์บัคส์จะจ้างผู้ลี้ภัย 10,000 คนทั่วโลกเข้าทำงานในระยะ 5 ปีข้างหน้า เพื่อตอบโต้มาตรการกีดกันของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
นอกจากนั้นแล้ว โฮเวิร์ด ชุลต์ซ ประธานและและผู้บริหารกลุ่มสตาร์บัคส์ ยังได้พูดึงสถานการณ์ในเม็กซิโก ว่า เม็กซิโกนอกจากจะเป็นแหล่งผลิตกาแฟส่งให้สตาร์บัคส์มานานกว่า 3 ทศวรรษ ยังมีร้านสตาร์บัคส์อยู่เกือบ 600 สาขา ซึ่งว่าจ้างพนักงานราวๆ 7,000 คน เราพร้อมที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้าชาวเม็กซิกัน หุ้นส่วน และครอบครัวของพวกเขา ในยามที่ต้องเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า การกีดกันผู้อพยพ และมาตรการทางภาษี ซึ่งอาจส่งผลต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อชาวอเมริกัน
ก่อนหน้านี้ ทางด้านชาวเม็กซิกันจำนวนมากร่วมกันแสดงจุดยืนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ เรียกร้องให้รัฐบาลคว่ำบาตรธุรกิจของสหรัฐฯ หลังทางการรัฐกัมเปเชที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ประกาศยกเลิกการจัดซื้อรถยนต์จากบริษัทฟอร์ดของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ทุกรัฐที่เหลือปฏิบัติตามด้วย
ด้านบริษัทสตาร์บัคส์ เครือร้านกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลกจากสหรัฐฯ ซึ่งมีสาขาอยู่ราว 560 แห่งในเม็กซิโก คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านเปโซ ออกแถลงการณ์ว่าสตาร์บัคส์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทที่กำลังเกิดขึ้น และบริษัทสนับสนุนเศรษฐกิจของเม็กซิโกมาตลอด ด้วยการสร้างงานมากกว่า 7,000 อัตรา หลังแฮชแท็ก #AdiosStarbucks กำลังได้รับความนิยมในสังคมเม็กซิกัน และเริ่มลุกลามไปถึงบริษัทสัญชาติอเมริกันรายอื่น ที่รวมถึงแมคโดนัลด์ โคคา-โคลา และวอล-มาร์ต
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์