ร้ายกว่านิวเคลียร์ ..ก็"สหรัฐ"ภัยคุกคามโลกที่แท้จริง !?การโจมตีที่เกินกว่าเหตุ..ชาติมหาอำนาจครองนิวเคลียร์ที่ดีที่สุด..แต่ไล่บี้ชาติอื่นอิรักโดนมาแล้ว!!

สถานการณ์ความตึงเครียดของโลกของเรา ณ ขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า"สหรัฐอเมริกา" ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องไหนเลย เห็นได้ชัดจากความบ้าพลังของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งในรอบเดือนเมษายน ได้มีการโจมตีครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้งใน เวลาไล่เลี่ยกัน

ครั้งแรกเมื่อ7 เม.ย. ทรัมป์ สั่งกองทัพสหรัฐระดมยิงจรวดโทมาฮอว์ค 59 ลูก ถล่มฐานทัพอากาศซีเรีย เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนในจังหวัดอิดลิบ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต แต่การโจมตีของสหรัฐเข้าเป้าเพียง23 ลูก ซึ่งนี่ไม่ใช้ครั้งแรก ที่สหรัฐใช้ขีปนาวุธชนิดนี้ หากย้อนไปก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2554 สหรัฐ เปิดฉากโจมตีกองกำลังกัดดาฟี ประเทศลิเบีย อย่างหนักหน่วง ถึง112 ลูก โดยคำสั่งประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ (ในขณะนั้น)

 

 

ต่อมากับปฏิบัติการ การหย่อนระเบิด MOAB หรืออีกชื่อหนึ่งว่า " Mother of All Bombs แปลเป็นไทยว่า แม่ของระเบิดทั้งปวง" (โคตรแม่ระเบิด)  มีน้ำหนักประมาณ 11 ตัน หรือ 21,600 ปอนด์ มีรัศมีการทำลายล้างกว้างกว่า1.6 กิโลเมตร ถือว่าเป็นครั้งแรกที่กองทัพสหรัฐนำระเบิดลูกใหญ่และมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่กองทัพสหรัฐมาใช้ในการปฏิบัติการในสนามรบ โดยอ้างว่า เป้าหมายเพื่อทำลายอุโมงค์ใต้ดินของกลุ่มไอซิส

 

 

ล่าสุด กระแสการรอบสังหารผู้นำเกาหลีเหนือ  โดยหนังสือพิมพ์จุงอัง อิลโบ ของเกาหลีใต้ได้รายงานว่า "หน่วยซีลทีม 6" ของนาวิกโยธินสหรัฐ ได้ถูกส่งตัวไปยังเกาหลีใต้แล้ว เพื่อฝึกเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าไปปฏิบัติการปลิดชีพ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ

ซึ่งการเข้ามาฝึกปฏิบัติการของ "หน่วยซีล ทีม 6" ครั้งนี้ ถือเป็นข่าวที่สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เลือกแผนการลอบสังหารผู้นำเกาหลีเหนือ เพื่อเป็นการชิงลงมือก่อนและรักษาสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีให้ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์

ทั้งนี้สหรัฐมักใช้ข้ออ้างเรื่องการป้องกันโลกจากอาวุธนิวเคลียร์ ในการเข้าแทรกแซกประเทศไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเหนือหรือว่าอิรัก โดยเฉพาะอิรักเองก็ต้องหน้าเสีย เพราะท้ายที่สุดก็ไม่พบอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง หรือ นิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพในอิรัก ซึ่งต่างจากสหรัฐที่ตนเองนับครอบครอง "อาวุธนิวเคลียร์" เสียเอง

ย้อนไปในปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐ ได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2ลูกด้วยกัน โดยทิ้งใส่เมืองฮิโรชิม่า และเมืองนางาซะกิ ของประเทศญี่ปุ่น วันที่ 6 เดือนสิงหาคม คศ. 1945 เวลา 8:15 นาฬิกา ระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อว่า Little Boy ก็ได้นําไปทิ้งที่ เมืองฮิโรชิมา  มีแรงระเบิดขนาด 15 กิโลตัน หรือเทียบเท่ากับดินระเบิด ทีเอ็นที 15000 ตัน แล้วอีก 3 วันต่อมา ระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อว่า Fat Man ก็ได้นําไปทิ้งที่ เมืองนางาซากิ พินาศย่อยยับในพริบตาด้วยอำนาจของพลังนิวเคลียร์

มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตภายหลังในปีเดียวกันอีกราว 70,000 คน และผู้ที่เสียชีวิตภายหลังนี้ต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนเสียชีวิต จากแผลไฟลวก และผลจากกัมมันตภาพรังสี และประมาณอีก 60,000 คนเสียชีวิตในอีก 6 ปี ถัดมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากกัมมันตภาพรังสี รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตกว่า 200,000 คน

ส่วนที่นางาซากินั้น มีชะตากรรมไม่แพ้กัน ผู้เสียชีวิตในทันที 70,000 คน บาดเจ็บอีกราว 80,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ผลของกัมมันตภาพรังสี 
ยังทำให้ผู้ที่ได้รับรังสีกลายเป็นมะเร็งในภายหลังได้อีกด้วย ในส่วนนี้ไม่สามารถประเมินได้แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าใด ยังไม่รวมถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม อันเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตามสหรัฐเป็นชาติมหาอำนาจที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพสูงที่สุดในโลก และกำลังรบนิวเคลียร์ของสหรัฐประกอบด้วย ขีปนาวุธที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป (ICBMs),อาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ (SLBMs) และเครื่องบินทิ้งระเบิด (Bombers) รวมทั้งสิ้น 1,074 ฐานยิง ถือครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 5,170 นัด และรวมอำนาจการทำลายที่คิดเป็นน้ำหนักระเบิด TNT มากกว่า 1,560 Megaton