- 19 ก.ค. 2560
พฤติกรรมของอิหร่าน นั้นได้ดำเนินการในการพัฒนา ขีปนาวุธ และให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และสนับสนุนการสู้รบในซีเรีย
พฤติกรรมของอิหร่าน นั้นได้ดำเนินการในการพัฒนา ขีปนาวุธ และให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และสนับสนุนการสู้รบในซีเรีย นอกจากนี้ยังถูกอ้างว่า อิหร่านมีส่วนในการคุกคามน่านน้ำในบริเวณอ่าวเปอร์เซียอีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เข้าข่ายบ่อนทำลายเจตนารมณ์ของ JCPOA ที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของตะวันออกกลางและนานาชาติ
คณะบริหารของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโนดัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจรอบใหม่ต่ออิหร่าน โดยสืบเนื่องจากโครงการขีปนาวุธและการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในภูมิภาค ซึ่งกฎหมายของสหรัฐฯ นั้น กระทรวงต่างประเทศต้องแจ้งรัฐสภาใน 90 วันเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (JCPOA) ของอิหร่าน โดยวาระล่าสุดครบกำหนดในวันจันทร์ ที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ที่ผ่านมานั้นทางด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทางด้านอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ พิจารณาว่าอิหร่านได้ ปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ 2015 แต่เมื่อถึงสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และแเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ ต่างก็เชื่อว่าอิหร่านนั้น ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อภูมิภาคและ เป็นอันตรายที่สุดต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
พฤติกรรมของอิหร่าน นั้นได้ดำเนินการในการพัฒนา ขีปนาวุธ และให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และสนับสนุนการสู้รบในซีเรีย นอกจากนี้ยังถูกอ้างว่า อิหร่านมีส่วนในการคุกคามน่านน้ำในบริเวณอ่าวเปอร์เซียอีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เข้าข่ายบ่อนทำลายเจตนารมณ์ของ JCPOA ที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของตะวันออกกลางและนานาชาติ
โดย JCPOA เป็นข้อตกลงที่อิหร่านทำกับสหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย และเยอรมนี เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านทำการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ด้วยการกำหนดข้อจำกัดที่มีระยะเวลาจำกัด และการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างเข้มงวดโดยนานาชาติ แลกเปลี่ยนกับการยกเลิกมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน
ที่ผ่านมานั้นทางด้านอิหร่านปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่ได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทว่า แต่ทางด้านทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรติดตามตรวจสอบด้านนิวเคลียร์ในสังกัดสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า อิหร่านอยู่ในขั้นตอนการออกแบบหัวรบนิวเคลียร์เพื่อติดตั้งกับจรวดจนถึงปี 2009
ทางด้านสหรัฐฯ พยายามหาวิธีการที่จะบังคับใช้ข้อตกลงนิวเคลียร์อย่างเข้มงวดขึ้นมาอีกครั้ง โดยอ้างเหตุผลว่าข้อตกลงที่ผ่านมานั้นจะทำให้อิหร่านสามารถเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในระดับอุตสาหกรรม
โดยล่าสุดนั้นทางด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตร 18 องค์กรและบุคคล ฐานสนับสนุนกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติของอิหร่าน ซึ่งผิดกฎหมาย โดยทางการสหรัฐฯอ้างว่า องค์กร หรือบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร ครั้งนี้ สนับสนุนกองทัพหรือกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน ผ่านการพัฒนาโดรนและยุทโธปกรณ์ทางทหาร ผลิตและบำรุงรักษาเรือ และจัดหาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขโมยโปรแกรมซอฟต์แวร์ของอเมริกาและชาติตะวันตก แล้วขายมันแก่รัฐบาลอิหร่าน
นอกจากนั้นแล้วสหรัฐฯ ยังได้ทำการขึ้นบัญชีดำกลุ่มต่างๆที่อิหร่านให้การสนับสนุน เช่นฮีซบอลเลาะห์ ของเลบานอนและกลุ่มเคลื่อนไหว ฮามาสปาเลสไตน์ รวมถึงรัฐบาลซีเรียของประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด แห่งซีเรียและกบฏฮูตีในเยเมน
หลังจากที่ทางด้านสหรัฐฯออกคำแถลงมานั้นทางอิหร่านได้ออกมาประณามมาตรการคว่ำบาตรครั้งล่าสุด พร้อมกำหนดมาตรการคว่ำบาตรตอบโต้ทันที