สามีหัวเราะเยาะ หลังภรรยาเดินมาขอหย่า เธอตัดสินใจเลือก ลูกสาวทั้ง4คน แทนสมบัติ

สามีหัวเราะเยาะ หลังภรรยาเดินมาขอหย่า เธอตัดสินใจเลือก ลูกสาวทั้ง4คน แทนสมบัติ

สื่อต่างประเทศเปิดเผย หญิงที่ชื่อ ต่งจู๋จวิน เป็นหนึ่งในตัวแทนที่เกิดมาในพื้นหลังที่ยากจนและต่ำต้อย แต่ด้วยความอุตสาหะในการทำหน้าที่เป็นแม่ที่แข็งแกร่ง ทำให้ชีวิตของเธอที่เกิดมาในสถานการณ์ที่เลวร้าย จนมาถึงเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ นำไปสู่ปาฏิหาริย์ในเชิงพาณิชย์ในที่สุด ซึ่งในขณะนั้น มีผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากในเซียงไฮ้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาเลย 
 

จนกระทั่งเธอได้ก่อตั้งสร้าง โรงแรมจิ่นเจียง (Jinjiang Hotel) ขึ้นมา ด้วยความยากลำบากมา ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมที่มีอายุนานกว่าศตวรรษแล้วและยังคงตั้งอยู่ในใจกลางของเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีดินแดนอุดมสมบูรณ์

สามีหัวเราะเยาะ หลังภรรยาเดินมาขอหย่า เธอตัดสินใจเลือก ลูกสาวทั้ง4คน แทนสมบัติ

ในปี ค.ศ.1900 ต่งจู๋จวิน ได้กำเนิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก และเพราะสาเหตุนี้ทำให้เธอได้ไปอยู่ในโรงเรียนเอกชนอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หลังจากอายุ 12 ปี คุณแม่ของเธอก็ส่งเธอไปยังสถานเริงรมย์แห่งหนึ่ง เพื่อไปเป็นนักร้อง และในสถานที่แห่งนั้นเอง ทำให้เธอได้พบกับสามีในอนาคต 

นายเซี่ยะจือสือ เป็นรองผู้ว่าราชการของกองทัพซู่ เมื่อได้เห็นความงงามของต่งจู๋จวิน ก็เกิดอยากจะใช้เงินเพื่อไถ่ตัวเธอออกมาจากสถานที่แห่งนั้น และนำเธอกลับบ้านไปเป็นเมีย เนื่องจากต่งจู๋จวินเป็นหญิงสาวที่สวยงามและมีความเฉลียวฉลาดมาก

สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ต่งจู๋จวินกลับปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ของเขา สาเหตุหลักที่ทำให้เธอไม่ยอมไปกับเขาก็คือ หากวันหนึ่ง เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา แล้วอ้างว่า “เธอคือสิ่งที่ผมใช้เงินซื้อมา” ดังนั้น ต่งจู๋จวินจึงตัดสินใจหนีออกจากสถานที่แห่งนั้นเอง 

ในปีนั้นเธออายุ 14 ปี เธอและสามีในอนาคต ก็ได้แต่งงานกัน แต่ก่อนแต่งงาน ต่งจู๋จวินมีข้อเสนอบางอย่างกับเซี่ยะจือสือว่า “อย่าคิดว่ามีน้อย พยายามสร้างครอบครัวที่สมบรูณ์ที่สุด หากจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นก็ต้องเธอไปด้วย”

นายเซี่ยะจือสือก็ตอบตกลง หลังแต่งงาน สามีภรรยาก็ย้ายไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นด้วยกัน นึกไม่ถึงว่า พออยู่กินกันเป็นระยะเวลานานเข้า ก็ทำให้เธอรู้สึกว่า สามีเป็นคนยึดติดกับระบบศักดินาอย่างมาก ผู้ชายต้องเป็นใหญ่ในบ้าน เขาคิดเสมอว่าต่งจู๋จวินเป็นสาวข้าราชบริพารของตน ไม่ยินยอมให้เธอมีหน้ามีตาในสังคม ถึงขนาดที่ว่า หากเธอไปยืนที่หน้าต่างเพื่อฟังเพลงจากบ้านอื่นที่เปิด เขาก็จะสงสัยทันทีว่าเธอแอบไปหลงรักชายอื่น

สามีหัวเราะเยาะ หลังภรรยาเดินมาขอหย่า เธอตัดสินใจเลือก ลูกสาวทั้ง4คน แทนสมบัติ
 


ในปี 1915 เซี่ยะจือสือมีธุระ จึงเดินทางกลับประเทศก่อน และได้เรียกน้องชายให้ไปอยู่ดูแลเธอที่ญี่ปุ่นแทน ต่อหน้าบอกว่าช่วยดูแล แต่ที่จริงแล้วคือการควบคุมเธอตลอดเวลาต่างหาก เพื่อไม่ให้เธอมีความคิดที่แข็งกร้าว 2 ปีต่อมา ต่งจู๋จวินเรียนจบจากญี่ปุ่นกลับมา ในตอนแรกอยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสเพิ่มเติม แต่กลับโดนสามีบังคับให้กลับ มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ในตอนนั้นธุรกิจของสามีประสบปัญหา ขาดทุนมหาศาล จนเขาเริ่มมีพฤติกรรมแย่ๆ ในการดูดฝิ่น หากวันไหนอารมณ์ไม่ดีก็จะดุด่าและตีเธอ

ทำให้ต่งจู๋จวินคิดว่า คงอยู่บ้านหลังนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องหาทางทำธุรกิจด้วยตนเอง ด้วยการเริ่มดำเนินกิจการโรงงานทอผ้า, ทำธุรกิจรถลาก สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เป็นที่พอใจของสามีเป็นอย่างมาก และด้านการเลี้ยงลูกก็สร้างปัญหาให้กับทั้งคู่เหมือนกัน เนื่องจากเกิดความคิดที่ขัดแย้งกันเสมอ สามีคิดว่า มีแต่ลูกชายเท่านั้นที่จะสามารถสืบทอดสกุลได้ จุดธูปไหว้ได้ แต่ทว่าต่งจู๋จวินก็มีลูกสาวติดต่อกัน 4 คนให้กับสามี เขาบังคับให้เธอมีลูกอีกจนกว่าจะได้ลูกชาย

สามีหัวเราะเยาะ หลังภรรยาเดินมาขอหย่า เธอตัดสินใจเลือก ลูกสาวทั้ง4คน แทนสมบัติ

ตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวทั้ง 4 คนของเธอ ไม่เคยได้รับความรักจากคนเป็นพ่อเลย ขนาดป่วยหนักสามีของเธอก็ยังไม่อยากช่วยดูแลเลย แตกต่างจากต่งจู๋จวินมาก เพราะเธอเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะยากจน เธอยังเสนอให้สามีฟังว่า ลูกสาวของเธอทั้ง 4 คน ควรได้เรียนจบมหาวิทยาลัย จนทำให้ทั้งคู่แตกคอกันมากขึ้น ทะเลาะกันหนักขึ้น  จนกระทั่งในปี 1929  เธอจึงพาลูกสาวทั้ง 4 คนของเธอย้ายออกมาอยู่กันเอง โดยไม่มีสามี เพราะสามีของเธอไม่ยอมหย่า

5 ปีต่อมา สามีจึงยอมเซ็นชื่อในใบหย่า นายเซี่ยะจือสือคิดในใจว่า การที่ต่งจู๋จวินตัดสินใจแยกทางกับเขา ก็เหมือนเดินไปหาความตาย โอ้อวดและจองหองมาก เขาหัวเราะเยาะว่า “เธอจะพาลูกๆ ไปเซี่ยงไฮ้หรอ ไม่ต้องบอกว่าจะลำบากแค่ไหน หากลูกสาวของเธอสามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ฉันจะเอาฝ่ามือของฉันนี่แหละทอดปลาให้เธอกิน”

สามีหัวเราะเยาะ หลังภรรยาเดินมาขอหย่า เธอตัดสินใจเลือก ลูกสาวทั้ง4คน แทนสมบัติ

หลังจากนั้นต่งจู๋จวินก็ขะมักเขม้นในการทำงานอย่างหนัก แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้มีพระคุณ ในขณะที่อยู่เซี่ยงไฮ้เพื่อช่วยให้เธอสามารถยืนสู้ต่อไปได้ ด้วยการขอทุนมาเปิดร้านอาหารเล็กๆที่ชื่อ จิ่นเจียง จนกลายเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากในขณะนั้น ไม่เพียงแค่คนในพื้นที่เท่านั้นที่ชื่นชอบอาหารของเธอ ชาวต่างชาติก็พากันหลั่งไหลมาทานอาหารที่ร้านของเธอเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตู้เย่เซิง เจ้าพ่อและนักธุรกิจใหญ่ก็ออกมาช่วยเธอโฆษณาร้านอีกด้วย ในเวลาต่อมา ร้านอาหารจิ่นเจียง ก็เปลี่ยนชื่อเป็น โรงแรมจิ่นเจียง จนถึงปัจจุบัน 

ในตอนนั้นธุรกิจของเธอไปได้ดีมาก ทำให้เธอค่อนข้างยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ลูกสาวทั้ง 4 คน จนกระทั่งเธอมาสังเกตเห็นว่าเกิดปัญหาด้านการเรียนบางอย่างเกิดขึ้นลูกสาวทั้ง 4 ของเธอ เพื่อให้ลูกสาวทั้ง 4 มีการศึกษาที่ดี จึงได้ส่งลูกสาวไปเรียนหนังสือที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ทุกวันจะให้ลูกๆอ่านหนังสือนิตยสาร หากมีการกล่าวสุนทรพจน์ในเซี่ยงไฮ้ เธอก็จะพาลูกสาวไปฟังทันที เธอไม่อนุญาตให้ลูกสาวของเธอมาที่ร้านอาหารเพราะกลัวว่าลูกสาวของเธอจะได้รับผลกระทบจากบรรยากาศของร้านที่เต็มไปด้วยแสงสีฉูดฉาด ต่งจู๋จวินจะเขียนจดหมายถึงลูกๆเสมอ เพื่ออบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนที่มีประโยชน์ในอนาคต

การทุ่มเทของต่งจู๋จวินนั้นไม่เสียเปล่าเลย ลูกๆทั้ง 4 คนของเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย และ 3 คนก็เรียนจบปริญญาเอกจากประเทศอังกฤษอีกด้วย  ลูกสาวคนที่ 3 เรียนจบด้านเทคโนโลยีภาพยนตร์จากประเทศอังกฤษ และทำงานทำงานในสหประชาชาติ ต่อมาก็ออกมาเปิดโรงภาพยนตร์ที่ชื่อ August First Film Studio ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของต่งจู๋จวินที่มุ่งมั่นและการอบรมสั่งสอนเพื่อที่จะให้ลูกได้เรียนให้สูงที่สุด  

 เธอเป็นทั้งผู้ประกอบการและแม่ที่สมบูรณ์แบบที่ประสบความสำเร็จ คิดดูนะ ในยุคสมัยนั้น ผู้หญิงตัวคนเดียวยังประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายากเย็นแค่ไหน ผู้หญิงที่จะบรรลุความสำเร็จได้นั้น ต้องมีบทบาทสำคัญมากแค่ไหน ในฐานะที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานและเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงนับไม่ถ้วนก้าวไปข้างหน้า อย่างไม่หยุดหยั้ง อย่าได้กลัว ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่ ไม่อยากทำต่างหาก

ขอบคุณเรื่องราวจาก  lightenlife , eat543.com