สาวสุดงง เจอเพื่อนบ้านบุกตบหน้าฉาดใหญ่ เหตุเธอจะไปเดินป่า จึงตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อลุกมาทำอาหารตอนตี 5 !

เว็บไซต์เวิลด์ออฟบัซ รายงานว่า เวสทีนอาศัยอยู่ในบ้านเช่าที่มีเพื่อนร่วมบ้านทั้งหมด 3 คน ประกอบด้วยหญิง 1 คน ซึ่งอยู่ชั้นล่างตรงหน้าห้องครัว กับชายอีก 2 คนซึ่งอาศัยอยู่ชั้นบน ด้วยความที่เวสทีนมีแผนจะไปเดินป่ากับเพื่อน เธอจึงตื่นขึ้นมาแต่เช้า และลุกมาเตรียมอาหารง่าย ๆ ในครัวตอนเวลาประมาณตี 5

สาวสุดงง เจอเพื่อนบ้านบุกตบหน้าฉาดใหญ่ หลังลุกมาทำอาหารตอนตี 5

แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 10 นาที อยู่ ๆ เพื่อนบ้านหญิงรายนี้ก็ออกจากห้องตัวเอง และตรงเข้ามาตบหน้าเวสทีนอย่างรุนแรง พร้อมตวาดใส่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความตกใจและงุนงงแก่หญิงสาวอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะอะไร
สาวสุดงง เจอเพื่อนบ้านบุกตบหน้าฉาดใหญ่ หลังลุกมาทำอาหารตอนตี 5

ปรากฏว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายตบเธอ เพราะตัวเองถูกเวสทีนทำให้ตื่น เพื่อนบ้านรายนี้ยังด่าหญิงสาวต่อ ถามว่าทำไมเธอไม่ยกเตาไปทำอาหารในห้องนั่งเล่น ซึ่งเวสทีนยอมรับว่าเธอช็อกมาก เพราะเธอมั่นใจว่าห้องครัวเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาใช้ได้ทุกเมื่อ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอมาเข้าครัวเช้าขนาดนั้น

สาวสุดงง เจอเพื่อนบ้านบุกตบหน้าฉาดใหญ่ หลังลุกมาทำอาหารตอนตี 5

ต่อมา เวสทีนชี้ว่าเธอได้รับคำยืนยันจากเจ้าของบ้านแล้ว ว่าตัวเองสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในบ้านได้ตลอดทั้งวัน ในที่สุดเวสทีนก็ตัดสินใจแจ้งตำรวจ ซึ่งคู่กรณีก็ตามมาที่โรงพักพร้อมกับยาที่ไม่มีฉลาก อ้างว่านี่เป็นยารักษาอาการวิตกกังวลของตัวเอง แต่เมื่อทางตำรวจขอดูบัตรยืนยันเรื่องอาการป่วยทางจิตเวช คู่กรณีกลับอ้างว่า ตัวเองแค่มีอาการวิตกกังวลเล็กน้อย เลยไม่มีบัตรอะไรมายืนยัน
สาวสุดงง เจอเพื่อนบ้านบุกตบหน้าฉาดใหญ่ หลังลุกมาทำอาหารตอนตี 5

สุดท้ายเมื่อทางตำรวจยืนยัน ต้องการให้คู่กรณีขอโทษผู้เสียหาย ทางเพื่อนบ้านก็กล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า "ฉันขอโทษก็ได้ แต่เธอก็คิดว่ามันเป็นคำขอโทษไหมก็อีกเรื่อง ใช่ฉันผิด แต่เธอก็ไม่มีความเกรงใจกันเลย"

สาวสุดงง เจอเพื่อนบ้านบุกตบหน้าฉาดใหญ่ หลังลุกมาทำอาหารตอนตี 5

เวสทีนชี้ว่า มันเป็นหนึ่งในการขอโทษที่ไม่จริงใจที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ และเธอก็ไม่คิดว่านั่นเป็นคำขอโทษด้วย แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะออกมาจากโรงพักหลังความพยายามไกล่เกลี่ยนั้น เพราะคิดว่ามันเสียเวลาเปล่าที่จะคุยกับคนไร้อารยธรรมเช่นนี้
 

ขอบคุณที่มา : Vestene Wong