อดีตผู้นำปากีสถาน  ถึงแก่อสัญกรรมแล้วที่ดูไบ ระหว่างการลี้ภัยในต่างประเทศ

อดีตผู้นำ ถึงแก่อสัญกรรมแล้วที่ดูไบ หลังรักษาอาการป่วยเรื้อรัง ระหว่างการลี้ภัยในต่างประเทศยาวนานหลายปี

อดีตผู้นำ ถึงแก่อสัญกรรมแล้วที่ดูไบ ระหว่างการลี้ภัยในต่างประเทศ : กองทัพปากีสถาน และสถานกงสุลของปากีสถานในนครรัฐดูไบ และสถานทูตปากีสถานในนครรัฐอาบูดาบีของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ยืนยันว่า เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ อดีตประธานาธิบดีปากีสถาน ถึงแก่อสัญกรรมที่โรงพยาบาลในนครรัฐดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์เมื่อวันอาทิตย์  และสื่อปากีสถานรายงานว่า เที่ยวบินพิเศษจะเดินทางถึงดูไบในวันจันทร์เพื่อลำเลียงศพกลับไปประกอบพิธีฝังศพในปากีสถาน

ขณะที่ นายกรัฐมนตรีเชห์เบซ ชารีฟ พร้อมด้วย ประธานาธิบดีอาริฟ อัลวี และผู้นำ 3 เหล่าทัพ แสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของอดีตผู้นำ 


สำหรับ มูชาร์ราฟ อดีตนายพล 4 ดาว ยึดอำนาจในเหตุการณ์รัฐประหารที่ไร้การนองเลือดในปี 2542 และบริหารประเทศทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนขยายตัวสูงสุดที่ 7.5% และพยายามส่งเสริมค่านิยมสังคมเสรีในประเทศมุสลิมอนุรักษ์นิยม เขาปกครองปากีสถานโดยได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งมานาน 9 ปี 

 


แต่ยอมก้าวลงจากอำนาจในปี 2551 หลังจากเกิดกระแสความไม่พอใจอย่างมากจากใช้กำลังทหารปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างหนัก และให้การสนับสนุนสหรัฐฯ ในการกวาดล้างอัลไกดา และตาลีบันในอัฟกานิสถาน  รวมทั้งทำให้ปากีสถานเข้าสู่สงครามนองเลือดกับกลุ่มติดอาวุธสุดโต่งภายในประเทศ เขาเคยเผชิญเหตุการณ์พยายามลอบสังหารอย่างน้อย 3 ครั้ง


ความนิยมต่อตัวเขาภายในประเทศเสื่อมถอยลง เมื่อเขาจัดการเลือกตั้งในปลายปี 2545 หลังจากแก้ไขรัฐธรรมนูญให้อำนาจตัวเองปลดนายกรัฐมนตรีและยุบสภาได้ และไม่รักษาสัญญาที่จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารภายในสิ้นปี 2547 เขายังสร้างความโกรธเคืองแก่ประชาชนจากการปลดประธานผู้พิพากษาศาลฎีกาในปี 2560 ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ 


ต่อมาเขาได้รับเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัยในเดือน ต.ค. 2550 และประกาศภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งระงับรัฐธรรมนูญในเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน หลังจากมีกระแสความไม่พอใจต่อผลเลือกตั้ง และการที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย แต่หลังเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตก เขายอมยกเลิกภาวะฉุกเฉิน และจัดการเลือกตั้งทั้วไปในเดือน ก.พ. 2551


พรรคการเมืองของเขาได้รับเลือกตั้งเพียง 1 ที่นั่งในรัฐสภา และหลังจากอดีตนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ คู่แข่ง ได้รับตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 จึงเริ่มดำเนินคดีอาญากับเขา รวมถึงคดีทรยศต่อชาติ ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เมื่อรัฐสภาเตรียมดำเนินการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง และเขาได้หนีไปกรุงลอนดอนของอังกฤษ


อย่างไรก็ตาม เขากลับเข้าปากีสถานอีกครั้งในปี 2556 เพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ถูกตัดสิทธิเพราะขาดคุณสมบัติ และได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยไปดูไบในปี 2559 ต่อมาในปี 2562 ศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิตเขาจากกรณีบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2560 แต่ศาลพลิกคำตัดสินในเวลาต่อมา 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline