เปิดสำนวนฟ้อง "พ.ต.ท.บรรยิน" - "ชูวงษ์" คอหักก่อนถูกอำพรางคดี

เปิดสำนวนฟ้อง "พ.ต.ท.บรรยิน" - "ชูวงษ์" คอหักก่อนถูกอำพรางคดี

ผ่านมาครบ 1 ปี คดีของ ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ที่เสียชีวิตปริศนา ล่าสุดตำรวจเข้าจับ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ผู้ต้องหาฆ่าชูวงษ์โยงกับการโอนหุ้น

 ปฐมบทของคดีฆาตกรรมอำพรางชูวงษ์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2558ในที่สุด ศาลก็อนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.บรรยิน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ คดีร่วมกันฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ไปยังศาลจังหวัดพระโขนง เพื่อขอคำอำนาจฝากขังผัดแรก ต่อมาศาลจังหวัดพระโขนง มีคำสั่งอนุญาตให้ พ.ต.ท.บรรยิน ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์ 2 ล้านบาท

ทั้งนี้ คดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนกองปราบปราม บรรยายฟ้องพฤติการณ์ของผู้ต้องหาว่า ผู้ต้องหาเป็นเพื่อนสนิทกับผู้ตาย และลงทุนทำธุรกิจที่ดินด้วยกัน โดยผู้ตายมีฐานะทางการเงินดี มีหุ้นในบริษัทจำนวนมาก จึงได้สมคบคิดกับ น.ส.อุรชา หรือ น้องป้อนข้าว วชิรกุลฑล เจ้าหน้าที่การตลาดบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ที่ผู้ตายและพวกมีหุ้นอยู่ จากนั้นผู้ต้องหานี้ได้ปลอมเอกสารใบโอนหุ้นของผู้ตาย โดยสวมรอยอ้างตัวเองกับพนักงานฝ่ายจัดการหลักทรัพย์ว่า เป็นนายชูวงษ์ ยืนยันการโอนหุ้น จนเจ้าหน้าที่หลงเชื่อในกลอุบายของผู้ต้องหา กระทั่ง วันที่ 8 มิ.ย.58 จึงมีการโอนหุ้น 3 ตัวไป มูลค่า 35,050,000 บาท ให้ น.ส.อุรชา หลังจากนั้นมีการโอนหุ้นให้ น.ส.ศรีธรา พรหมา มารดาของ น.ส.อุรชาอีก

นอกจากนี้วันที่ 22 มิ.ย. 58 ยังมีการโอนหุ้นของนายชูวงษ์อีก 1 ตัวให้ น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล ศิวาธนาพล จำนวน 9,500,000 หุ้น มูลค่า 228 ล้านบาท หลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีกับ ผู้ต้องหา , น.ส.อุรชา , น.ส.ศรีธรา และ น.ส.กัญฐณา ข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม , ร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจรซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องคดีดังกล่าว ขณะนี้สำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ

 ทั้งนี้ผู้ต้องหา รู้ดีว่า ช่วงสิ้นเดือน มิ.ย.58 บริษัทหลักทรัพย์ จะต้องรายงานการโอนหุ้นให้นายชูวงษ์ ผู้ตายทราบตามระเบียบ ผู้ต้องหาจึงวางแผนนำตัวนายชูวงษ์ ไปฆ่าเพื่อไม่ให้ล่วงรู้การกระทำของตน และเพื่อต้องการเอาหุ้นเป็นของตนเอง โดยวันเกิดเหตุ ผู้ต้องหา ออกอุบายขับรถไปหานายชูวงษ์ ที่บริษัท และรับไปสนามกอล์ฟ ย่านบางนา หลังจากตีกอล์ฟและกินอาหาร ผู้ต้องหาได้วางแผนออกจากสนามกอล์ฟเป็นคนสุดท้าย โดยรับนายชูวงษ์ นั่งโดยสารไปด้วยแล้วจอดรถ เพื่อพบกับพรรคพวกที่นัดหมายไว้ ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แล้วก่อเหตุฆาตกรรมตามแผนที่วางไว้ โดยทำร้ายที่ใบหน้าและศีรษะ ด้านซ้ายอย่างรุนแรง จนมีบาดแผลหลายแห่ง กระดูกคอหัก ทำให้นายชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย ก่อนจะนำศพของนายชูวงษ์ ไปนั่งที่เบาะด้านหน้าซ้ายในรถคันเกิดเหตุโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว

จากนั้นผู้ต้องหาขับรถคันเกิดเหตุไปตามเส้นทางที่วางไว้บน ถ.บางนา - ตราด เข้ามาทาง ถ.กาญจนาภิเษก เลี้ยวเข้า ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 มุ่งหน้ามาทาง สวนหลวง ร.9 ทิศทางมุ่งหน้าไปยังบ้านพักนายชูวงษ์ เพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ เมื่อถึงที่เกิดเหตุผู้ต้องหาได้ขับรถโดยเจตนาพุ่งเข้าชนต้นยูคาลิปตัส ห่างจากขอบทาง 43 เมตร สร้างสถานการณ์ว่า เกิดอุบัติเหตุรถชนต้นไม้ เพื่ออำพรางคดีว่า นายชูวงษ์ เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ

เหตุเกิดที่ ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. ซึ่งต่อมาวันที่ 28 มิ.ย. 59 เวลา 09.40 น. เจ้าหน้าที่ ตำรวจกองปราบปราม สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ ลานจอดรถ หน้าอาคารทาวน์สแควร์ โรงแรมพอสคาน่า สวีท วัลเลย์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ส่งพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อจะเอาผลประโยชน์ที่ตนได้กระทำผิดอื่น และเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนให้พ้นคดีอาญา ในชั้นจับกุมและสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธโดยตลอด

 ด้วยความจำเป็นดังกล่าว พนักงานสอบสวนจึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ เนื่องจากยัง ต้องสอบปากคำพยานอีก 10 ปาก และ รอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา จากกองประวัติอาชญากร และอื่นๆ

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวน ขอคัดค้านการให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต หากได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้วเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน รวมทั้งก่อเหตุร้ายประการอื่น และการกระทำของผู้ต้องหาเกี่ยวกับการปลอมใบโอนหุ้นและลักเอาหุ้นของนายชูวงษ์ ผู้ตายไป และวางแผนฆ่าผู้ตายในคดีนี้เป็นการกระทำผิดอาศัยความใกล้ชิดและผู้ตายไว้วางใจในฐานะเพื่อน โดยการกระทำผิดด้วยความแยบยลสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในคดี อีกทั้งผู้ต้องหายังมีพฤติกรรมข่มขู่ผู้เสียหายและพยานที่เกี่ยวข้องด้วย

ขณะเดียวกันเป็นที่พูดถึงตอนนี้ว่าการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ทำให้ย้อนไปถึงเมื่อ23 ปีก่อน เพราะคดีดังกล่าวคล้ายคลึงกับการเสียชีวิตของภรรยาพ.ต.ท.บรรยิน

ซึ่งสำนวนคดีดังกล่าวนั้น ยังเชื่อมโยงไปถึงการรื้อคดี การเสียชีวิตของภรรยาพ.ต.ท.บรรยิน

 สำหรับการตรวจสอบคดีการเสียชีวิตของภรรยาเก่าของพ.ต.ท. บรรยินนั้น สืบเนื่องจากพล.ต.อ.ศรีวราห์ได้รับแจ้งข้อมูลเรื่องนี้ในเบื้องต้น จึงมอบหมายชุดสืบสวนไปตรวจสอบความชัดเจน โดยประสานไปยังตำรวจท้องที่ภ.นครสวรรค์ ว่ามีรายงานคดีเรื่องนี้จริงหรือไม่ โดยเน้นตรวจสอบคดีอุบัติเหตุรถชนช่วงปี 2536

ขณะที่พ.ต.ท.บรรยินยังรับราชการตำรวจเป็นรองสารวัตรจราจรยศร.ต.ท. ในท้องที่เมืองนครสวรรค์ เคยขับรถบนเส้นทางสายอุทัยธานีมุ่งหน้าเข้าเมืองนครสวรรค์ ระหว่างใกล้เข้าเขตนครสวรรค์นั้น รถเสียหลักพุ่งชนต้นสะเดาข้างทาง เป็นเหตุให้หญิงสาวที่นั่งมาด้วยเสียชีวิตในอุบัติเหตุดังกล่าว  

รายงานแจ้งอีกว่า จากการตรวจสอบบันทึกประจำวันของสภ.พยุหะคีรี จ.นคร สวรรค์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2534 ช่วงเวลา 23.00 น. พ.ต.ท.บรรยินและภรรยากลับจากรับประทานอาหารที่ร้านครัวชัยนาท อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ โดยภรรยาเก่าเป็นคนขับ เกิดเหตุรถสิบล้อแซงสวนขึ้นมา โดยสมัยนั้นถนนยังเป็นเลนสวน ทำให้รถของพ.ต.ท.บรรยินหักหลบกะทันหัน จนเสียหลักตกข้างทางไปชนกับต้นสะเดาขนาดใหญ่ข้างทาง เป็นเหตุให้ภรรยาพ.ต.ท.บรรยินบาดเจ็บสาหัส นำส่งโรงพยาบาลพยุหะคีรี ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา และทางคดีความอาญาก็สิ้นสุดคดี โดยอัยการสั่งไม่ฟ้อง ทั้งนี้บันทึกประจำวันไม่ได้ระบุว่าพ.ต.ท.บรรยิน บาดเจ็บหรือไม่อย่างไร