- 26 พ.ย. 2559
สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแจกเงินคนจน ล่าสุดนายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นกรณีนโยบายแจกเงิน ระบุว่า ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เขาได้พาดพิงมั่วๆถึงร
สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแจกเงินคนจน
ล่าสุดนายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นกรณีนโยบายแจกเงิน ระบุว่า
ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เขาได้พาดพิงมั่วๆถึงรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ในเรื่องนโยบาย เช็คช่วยชาติ ที่ผมรับผิดชอบโดยตรงในฐานะรัฐมนตรีคลัง โดยที่เพื่อไทยอ้างว่าเป็นนโยบายที่ ทำไปแล้วศูนย์เปล่า…ไม่เกิดประโยชน์เลย เช็คช่วยชาติ คือหนึ่งในยาแรงที่เราต้องใช้ในช่วงวิกฤตครั้งใหญ่ของโลกในปี ๒๕๕๑/๕๒ ที่ทำให้ GDP ไทยเราต้องหดตัวถึง 7% และภาคเอกชนเลิกจ้างแรงงานถึงเดือนละ 50,000 คนอยู่หลายเดือนติดต่อกัน เราจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดความคึกคักในเศรษฐกิจภายในประเทศโดยด่วน และวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการเอาเงินใส่มือผู้มีรายได้น้อยทันที
ในช่วงนั้นมีการทำการสำรวจโดย ABAC พบว่าประชาชนที่ได้รับเช็คช่วยชาติส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.8 ระบุจะใช้จ่ายทันที ขณะที่ร้อยละ 17.2 ตั้งใจจะเก็บเอาไว้ก่อน โดยในกลุ่มที่จะใช้จ่ายทันที ร้อยละ 10.3 จะใช้หนี้สิน ร้อยละ 70.6 จะซื้ออาหาร ร้อยละ 52.2 จะซื้อของใช้ และ 0.7 จะนำไปรวมเงินดาวน์ซื้อสินค้า เราติดตามประเมินอย่างใกล้ชิดและเห็นการจัดเก็บภาษี VAT จากการบริโภคที่ก้าวกระโดดทันทีหลังจากการออกนโยบายนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าผลลัพท์ที่เห็นภายในไม่กี่เดือนคือเศรษฐกิจไทยฟื้นเป็นรูปตัว V และเป็นการฟื้นตัวที่เร็วเป็นอันดับสองในโลก (รองจากไต้หวันถ้าจำไม่ผิด
ควบคู่กับ ‘เช็คช่วยชาติเราได้ออกมาตรการอื่นๆที่มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจเช่น ไทยเข้มแข็ง (การลงทุน 20,000 โครงการทั่วประเทศ) ต้นกล้าอาชีพ (ฝึกอาชีพการงานให้รากหญ้า) และประกันรายได้ (ช่วยเสริมรายได้ให้เกษตรกร) ข้อดีของเช็คช่วยชาติ (และประกันรายได้) อีกข้อหนึ่งคือทุกบาทถึงมือประชาชนโดยไม่มีการรั่วไหล ส่วนนโยบายของรัฐบาลนี้จะส่งผลอย่างไรก็คงต้องรอดู แต่ที่แน่นอนก็คือผู้รับเงินมีความเดือดร้อนจริง และเงินถึงมือเขา ไม่รั่วไปเข้ามือใคร ซึ่งแทนที่จะมาคอยใส่ร้ายผู้อื่นและเอาดีเข้าตัว ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยควรไปทำการบ้านว่าเหตุใดในสมัยไทยรักไทยพวกเขาจึงมีหลายนโยบายที่ดี ไม่ว่าจะเป็น 30 บาท หรือ OTOP แต่ในช่วงเพื่อไทยจึงมีแต่การแจก tablet รถคันแรก หรือการทำ G2G เก๊
ขณะที่ นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่คลังเสนอเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเหตุผลในการออกมาตรการนี้ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนที่มีรายได้น้อยมีสัญญาณชะลอตัวลง แม้ว่ารัฐบาลได้ดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตของเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบาง ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรมีความเสี่ยงด้านรายได้ เพื่อการอุปโภคบริโภค และเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2559 ครม.ได้เห็นชอบมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยไปแล้ว แต่ยังเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่นอกภาคเกษตร และได้ลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการแห่งรัฐอีก 5.4 ล้านราย ที่ยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้มีมาตรการเพิ่มรายได้ดังกล่าว
สำหรับผู้มีสิทธิ์รับการช่วยเหลือ ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่ 15 ส.ค.2559 และเป็นผู้ว่างงาน หรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปีในปี 2558 โดยผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อปี จะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อรายครั้งเดียว โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ 3.1 ล้านราย ใช้วงเงินดำเนินการ 9,300 ล้านบาท และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,001 บาท/ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี จะได้เงินช่วยเหลือ 1,500 บาท/คนครั้งเดียว โดยคาดว่ามีจำนวนผู้มีสิทธิ์ 2.3 ล้านคน ใช้เงินวง 3,450 ล้านบาท เมื่อรวมทั้งหมดจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ 5.4 ล้านคน รวมวงเงินที่ใช้ 12,750 ล้านบาท
นายณัฐพรกล่าวต่อว่า การโอนเงินนั้นมอบหมายให้ ธ.ก.ส., ออมสิน และกรุงไทย โอนเงินเข้าบัญชีผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนไว้กับธนาคาร โดยกรณีผู้มีสิทธิ์เป็นลูกค้าจะโอนเข้าบัญชีโดยตรง โดยสามารถตรวจสอบเงินในบัญชีได้ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ธนาคารแจ้ง แต่หากผู้มีสิทธิ์มีมากกว่า 1 บัญชี ธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวล่าสุด ส่วนกรณีผู้มีสิทธิ์ไม่ได้เป็นลูกค้าของธนาคาร ให้ไปแสดงตัวและเปิดบัญชีเงินฝากที่สาขาธนาคารที่ไปลงทะเบียนตามโครงการ และตรวจสอบเงินในบัญชีหลังเปิดบัญชีภายใน 7 วันเช่นกัน
เรียบเรียงโดย ชนุตรา สำนักข่าวทีนิวส์