- 03 พ.ค. 2560
รายการทีนิวส์สด ลึก จริง วันนี้ (3 พ.ค.60)นำเสนอคดี2 สามี-ภรรยาเก็บเห็ดในพื้นที่ป่าสงวนซึ่งสอบสวนเพิ่มเติมพบมีการตัดไม้จริงคาดาจมีผู้อยู่เบื้องหลัง
สืบเนื่องจากกรณีสองสามี - ภรรยา จ.กาฬสินธุ์ ที่ถูกดำเนินคดี บุกรุกป่าสงวนฯ จนกระทั่งกลายเป็นคดีดัง "ตา - ยาย เก็บเห็ด" ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2553นั้น ซึ่งทางทนายสงกานต์ ทนายชื่อดัง ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในคดีนี้
โดยต่อมาภายหลัง ผู้ตกเป็นจำเลยทั้งสองนั้นก็ได้ยื่นฎีกาต่อศาลเนื่องด้วยว่าการดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเป็นไปโดยไม่ชอบ เพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำความผิดตามฟ้องให้จำเลยทั้งสอบทราบนั้น ศาลเห็นว่า ตามสำเนาบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารท้ายฎีกาของจำเลยทั้งสองก็ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาตามฟ้องให้จำเลยทั้งสองทราบโดยครบถ้วน ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ให้การปฏิเสธอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเข้าใจข้อกล่าวหาเป็นอย่างดีแล้ว การสอบสวนจึงชอบแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฎีกาฟังไม่ขึ้น ทั้งยังเห็นว่าตามรายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสอง สำนวนการสอบสวนที่ศาลฎีกาเรียกมาจากโจทก์เพื่อประกอบการพิจารณาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุคณะเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าร่วมกันออกตรวจปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พบกลุ่มบุคคลประมาณ 3-4 คน กำลังช่วยกันใช้มีดแผ้วถางไม้ขนาดเล็กและตัดโค่นไม้สักล้มลงจำนวนมาก เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จึงวิ่งหนี และมีพยานเห็นจำเลยทั้งสองวิ่งหนีจากที่เกิดเหตุ พื้นที่เกิดเหตุเป็นแปลงปลูกสวนป่า ปี 2527, 2531, 2532, 2536 มีการตัดโค่นไม้สักสักกับไม้ กระยาเลย ขนาดโตประมาณ 30 ถึง 90 ซม. อายุประมาณ 15 ถึง 20 ปี ที่กำลังโต โดยเป็นการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันเป็นขบวนการลักลอบตัดไม้โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ซึ่งมีกลุ่มบุคคลที่ร่วมขบวนการเดียวกันได้ประโยชน์ด้วยอันเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง โดยจำเลยทั้งสองร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดังกล่าวด้วย ตามพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อได้ว่าบุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรงยังมิได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมมาดำเนินคดีทั้งหมด คงมีแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไป และสมัครใจรับสารภาพตามฟ้อง
อนึ่งระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 6 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
ทั้งนี้ด้านทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ที่เข้าช่วยเหลือก็ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่า รู้สึกดีใจที่ศาลมีเมตตา ลดโทษให้เป็น 1 ใน 3 แต่คดีนี้คงจะรื้อฟื้นใหม่ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน และจะต้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ส่วนรายละเอียดที่นำมารื้อฟื้นคดีใหม่เป็นอย่างไรนั้นจะมาอธิบายให้ฟังในวันที่มายื่นรื้อฟื้นคดี ยืนยันว่าจะเป็นหลักฐานใหม่โดยเฉพาะพยานบุคคล
ส่วนทางด้าน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม มีความเห็นว่า ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลย ทั้ง 2 ราย ต้องรับโทษอาญาตามคำพิพากษา 5 ปี แต่เคยได้รับโทษจำมาก่อนแล้ว 1 ปี 8 เดือน จึงเหลือโทษที่ต้องรับตามคำพิพากษา อีก 3 ปี 4 เดือน สำหรับทางออกมี 2 ทาง คือ การขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่
ซึ่งทั้งจากทางข้อกล่าวหาในการลักลอบตัดไม้ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั้นได้ให้การในฐานะพยานว่า ขณะเข้าจับกุมนั้นเห็นว่ามีผู้ร่วมขบวนการ กำลังช่วยกันตัดไม้อยู่ราว 4 คน รวมสองสามี - ภรรยา นี้ด้วย ทำให้เป็นข้อสงสัยเพิ่มเติมได้ว่า หากเป็นเช่นนั้นเเล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ทั้งคู่อาจเป็นเพียงหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการระดับผู้ถูกว่าจ้างเพียงเท่านั้นเนื่องจากเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้อาจมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นขบวนการหรือไม่อย่างไร
อย่างไรก็ตามหากมีเบาะเเสความคืบหน้าใดใด ทางสำนักข่าวีนิวส์ และรายการ ทีนิวส์สด ลึก จริง จะนำมารายงานเพิ่มเติมให้ได้ทรายบกันต่อไป