- 20 ก.ค. 2560
ยางอาย....เคยมีกันบ้างไหม !?! "หลวงปู่พุทธะอิสระ" จัดหนัก เจ้าคุณ อาเสี่ยทั้งหลาย จากเงินทอนวัดสู่ปาราชิก หรืออาบัติคือน้องของพ่อ
วันที่ 20 ก.ค. 2560 บนเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ได้โพสต์ข้อความ โดยมีรายละเอียดว่า
จากเงินทอนวัด กลายมาเป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์และปาราชิกได้ไง
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ข่าวเงินทอนวัดที่มีทั้งฆราวาสและพระเข้าไปเกี่ยวข้อง มันทำให้นึกถึงข้อห้ามขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้ภิกษุสะสมหรือยินดีในเงินและทอง
เรื่องนี้มีมาในพระวินัยปิฎกเล่ม ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘
*เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร*
[๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์.
ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร.
(กุลุปกะ แปลว่า ผู้เข้าถึงสกุล เป็นคำเรียกพระภิกษุผู้ใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลนั้นๆ มีความคุ้นเคย ไปมาหาสู่ผู้คนในครอบครัววงศ์ตระกูลเสมอ ผู้คนในครอบครัวและวงศ์ตระกูลนั้นรู้จัก ให้ความเคารพนับถือและอุปถัมภ์บำรุงด้วยดีโดยไม่รังเกียจ เรียกเต็มว่า พระกุลุปกะ โบราณเรียกว่า ชีต้น)
เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึงแบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร.
เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน.
ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย.
ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบเรียนว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของพระคุณเจ้าแก่เด็ก พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ?
บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว.
อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา.
บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ในทันใดนั้นเองชนทั้งหลายรับรู้เรื่อง แล้วเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา
ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อยสันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
*ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม*
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุนั้นเป็นเค้ามูล แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่าดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ?
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
*ทรงติเตียน*
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ,
ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า?
การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.
โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
*ทรงบัญญัติสิกขาบท*
พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดั่งนี้
แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก
ความเป็นคนไม่สันโดษ
ความคลุกคลี
ความเกียจคร้าน
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย
ความสันโดษ
ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม
การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยายทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้
*พระบัญญัติ*
๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน
อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตรจบ.
ภิกษุใดผู้ต้องอาบัติสิกขาบทนี้ จักต้องสละเงินและทองต่อหน้าหมู่สงฆ์เสียก่อน จึงจะปลงอาบัติตก หากไม่สละเงินทองนั้น แม้จะปลงอาบัติ ก็ไม่สามารถทำให้อาบัตินั้นหายไปได้ ต้องเป็นอาบัติจนวันตาย
ไม่รู้ว่าบรรดาสมเด็จ เจ้าคุณ อาเสี่ยทั้งหลาย ได้เคยศึกษาสิกขาบทนี้ไหม เคยต้องอาบัติสิกขาบทนี้ไหม หรือไม่เป็นไร อาบัติคือน้องของพ่อ เป็นญาติกันเสียแล้ว ก่อนปลงอาบัติได้สละเงินทองที่สะสมเอาไว้กันบ้างหรือเปล่า และหากไม่สละอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ที่ต้อง ได้เกาะกินกระดูกมานานเท่าไหร่แล้ว
ยางอายน่ะ เคยมีกันบ้างไหม นี่ยังไม่รวมกรณีเงินและทองนั้นได้มาโดยการทุจริตนะ
หากประพฤติทุจริตแล้วได้เงินทองนั้นมาเกินราคา ๕ มาสก(๑ บาท) ต้องอาบัติปาราชิก
พุทธะอิสระ