ย้อนรอย! รากเหง้า "ชาวเลราไวย์" กับปมพิพาทที่ดิน "นายทุน" ที่อ้างเอกสารสิทธิ !?

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 


โดยนับตั้งแต่วันนี้ทางสำนักข่าวทีนิวส์ก็จะได้นำเสนอประวัติความเป็นมาของกรณีพิพาทระหว่างชาวราไวย์กับกลุ่มชายฉกรรจ์ให้คุณผู้ชมได้รับทราบ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน

 

 

 


ซึ่งในวันนี้เราก็จะให้คุณผู้ชมได้ดูภาพที่น่าปลื้มปิติของชาวเลย์อูรักลาโว้ยเมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จเยี่ยมประชาชนชาวเลที่บ้านราไวย์

 


โดยย้อนกลับไปเมื่อวันอังคารที่ 10 มีนาคม 2502พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรง เสด็จฯ ทรงปล่อยกุ้งหัวโขนที่ท่าเรือพร้อมทั้งเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรหมู่บ้านชาวเลที่บ้านราไวย์ จังหวัดภูเก็ต  ทรงทอดพระเนตรการซ่อมเรือหาปลา ทรงดนตรีร่วมกับคณะมิตรศิลป์ของสมาคมนายเหมืองภูเก็ตและทอดพระเนตรการแสดงรองเง็งของชาวเล

 


จากหลักฐานดังกล่าวนั้นก็แสดงให้เห็นว่าชาวเลหาดราไวย์อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนั้นมาอย่างน้อยก่อนปี 2502 แน่นอนแล้วเพราะเหตุใดอีกหลายปีต่อมาก็ได้มีการกล่าวอ้างเรื่องเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของนายทุน เราก็จะได้มาลำดับเรื่องราวให้ท่านผู้ชมได้รับทราบดังต่อไปนี้

 


ชาวเล  เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเรือและใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับท้องทะเลมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน หรือบางครั้งใช้คําว่า “ ชาวน้ำ ” (sea people หรือ sea gypsy)

 

งานศึกษาวิจัยพบว่า ชาวเลเป็นชนเผ่าพื้นเมืองในทะเลอันดามันที่อาศัยมายาวนานประมาณ 300-500 ปี  โดยเคยเดินทางและทํามาหากินอย่างอิสระบริเวณชายฝั่งทะเลและเกาะแก่งต่างๆ ทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซีย พม่า  อินเดีย  แต่หลังจากมีการแบ่งเส้นแดนระหว่างประเทศต่างๆ ชัดเจนขึ้นทําให้ชาวเลต้องปักหลักตั้งถิ่นฐานในแต่ละประเทศ

 


กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ทั้งสามกลุ่มคือมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ยแม้ว่าจะมีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน แต่หากพิจารณาในรายละเอียด จะพบความแตกต่างที่ทําให้คนภายนอกสังเกตได้หลายประการ  อาทิ ด้านภาษาแม้จัดอยู่ในตระกูลออสโตรนีเชียนเช่นเดียวกันแต่กลุ่มอูรักลาโว้ยมีภาษาที่แตกต่างกับกลุ่มอื่นค่อนข้างมากในขณะที่ภาษาของมอแกนและมอแกลนมีส่วนคล้ายคลึงกัน มีคําศัพท์ที่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และสามารถสื่อสารกันพอรู้เรื่องรูปแบบเรือดั้งเดิมของมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย ก็แตกต่างกัน และพิธีกรรมก็แตกต่างกัน  มอแกลนและอูรักลาโว้ยตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานค่อนข้างถาวร และมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปค่อนข้างมาก จนในปัจจุบันมักถูกเรียกขานว่า “ไทยใหม่”มอแกน หรือ ยิปซีทะเลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเรือและใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับท้องทะเลมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน

 


ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์นี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ

1. มอแกนปัจจุบันอาศัยอยู่ที่  หมู่เกาะสุรินทร์ เกาะพระทอง  จ.พังงา  และเกาะเหลา  เกาะพยาม จ.ระนอง

2. มอแกลนที่อพยพตนเองมาตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบ ซึ่งมอแกนเรียกว่า “ออลัง ตามัม” ปัจจุบันชนกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่บ้านหินลาด ต.ท้ายเหมือง จ.พังงา และบางส่วนก็อยู่ที่ บ้านทุ่งหว้า  อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

3. อูรักลาโว้ยซึ่งมีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับกลุ่มมอแกน และกลุ่มมอแกลน แต่จะมีวัฒนธรรมด้านรากภาษาที่แตกต่างกันพบได้ที่ชุมชนหาดราไวย์ ชุมชนสะปา จ.ภูเก็ต และชุมชนบ้านสังกาอู้ จ.กระบี่

 


ปัจจุบันชุมชนชาวเลอาศัยใน  5 จังหวัดอันดามันคือ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และสตูลจํานวน 41 ชุมชน มีประชากรจํานวน 17,485 คนพื้นที่ทํากินของชาวเล คือทะเล ทั้งชายฝั่งทะเล หาดทราย หาดหิน แนวปะการัง และป่าซึ่งเป็นป่าชายเลน ป่าชายหาด ป่าดงดิบ การดํารงชีวิตแบบดั้งเดิม อยู่กับท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลไม่ค่อยได้ติดต่อและสัมพันธ์กับชีวิตในสังคมเมืองมากนัก จึงทําให้เกิดปัญหาถูกเบียดขับจากการพัฒนา

 


ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ชาวเลต้องประสบปัญหาซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบอีกหลายกลุ่ม คือ การไร้รัฐและการถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐาน การขาดความมั่นคงในที่อยู่อาศัย การถูกกีดกันออกจากสิทธิในการใช้และเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ  การถูกผลักเข้าสู่กิจกรรมที่ผิดกฎหมายและการทํางานที่เสี่ยงอันตราย  การเข้าถึงและการได้รับบริการรักษาพยาบาล การขาดความมั่นใจและภูมิใจในวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิม และการถูกดูแคลนจากบุคคลที่ไม่เข้าใจในวิถีวัฒนธรรมแบบ “ชาวเล”  

 


ซึ่งปัญหาที่ชาวเลประสบอยู่ในปัจจุบันมีหลายด้าน ในแต่ละพื้นที่มีรายละเอียดและความเข้มข้นของปัญหาแตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาในภาพรวมเกิดจากการพัฒนาการท่องเที่ยวและการประกาศเขตอนุรักษ์ของรัฐ ส่งผลกระทบต่อที่ทํากินดั้งเดิมของชาวเลจากข้อมูลสํารวจพบว่า มีชุมชนชาวเลที่ไม่มีความมั่นคงในที่ดิน 25 แห่ง มีพื้นที่สุสานและพื้นที่ประกอบพิธีกรรมถูกรุกราน 15 แห่ง

 


สำหรับการตั้งถิ่นฐานของชาวเลในภูเก็ตนั้นภูเก็ตเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเกาะบริวาร 32 เกาะและพลเมืองดั้งเดิมที่เกิดขึ้นพร้อมๆ  กับความเป็นภูเก็ตคือชาวไทยใหม่  และยังประกอบด้วยชุมชนหลายเชื้อชาติหลายภาษาที่เดินทางแสวงโชคและด้วยการค้าทางทะเลมารวมกันที่เกาะภูเก็ต

 


ชุมชนชาวเลในพื้นที่ศึกษาจังหวัดภูเก็ตนี้เป็นชุมชนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและอาศัยอยู่มานาน  มีทั้งกลุ่มอุรักลาโว้ยและกลุ่มมอแกน ข้อมูลอีกแหล่งหนึ่งระบุว่า อพยพมาจากประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 200 กว่าปี  แรกเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณเกาะเฮ  และย้ายมาอาศัยอยู่บริเวณชายหาดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมาแต่ก็มีงานวิจัยชาวเลในจังหวัดภูเก็ตฯ อีกฉบับหนึ่งรายงานว่ายังมีชาวเลอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยอพยพมาจากหมู่เกาะในเขตประเทศพม่า

 


ทั้งนี้พบหลักฐานที่ยืนยันการตั้งถิ่นฐานมาแต่ดั้งเดิมของชาวเล เช่น จากข้อมูลทะเบียนบ้านเลขที่ 38หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ ปรากฏข้อมูลนางเปลื้อง เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2445 อีกทั้งบริเวณชุมชนที่ศึกษายังมีวัดสว่างอารมณ์ ซึ่งสร้างมานานกว่า 100ปี และมีการสร้างโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456และชาวเลสมาชิกในชุมชนที่ศึกษาวิจัยหลายคน เช่น นายถวิล นายสน ซึ่งอายุกว่า 80 ปีก็เคยเรียนที่นี่ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชชาวออสเตรเลียสองสามีภรรยาชื่อเดวิดและโดลีน  โอเก้น มาเผยแพร่ศาสนาตามชุมชนต่างๆ ที่เป็นมอแกนและอุรักลาโว้ยตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2500จนสามารถพูดภาษาอุรักลาโว้ยได้ และได้สร้างโบสถ์ในปี พ.ศ. 2542 ด้วย

 


ซึ่งก่อนสงครามโลก ชาวบ้านเดินทางไปมาระหว่างหาดราไวย์กับเกาะเฮ เกาะบอน และเกาะราชา เพื่อไปปลูกข้าวไร่และทําสวน มีชาวบ้านบางส่วนอยู่ที่นั่นอย่างถาวรจนเป็นชุมชนใหญ่เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์มาก ช่วงหนึ่งมีอหิวาต์ระบาดคนตายจํานวนมากจึงย้ายกลับไปอยู่เกาะสิเหร่และหาดราไวย์ ช่วงสงครามโลก ชาวเลลําบากมากเพราะออกทะเลไม่ได้  เมื่อเครื่องบินบินผ่านมาก็ต้องวิ่งหนีเข้าป่าไปอาศัยอยู่ชั่วคราวบริเวณแหลมกา แล้วย้ายต่อไปที่บริเวณคลองหลาวโอน โดยจะหลบภัยอยู่เป็นระยะ เมื่อปลอดภัยก็จะกลับมาพักอาศัยอยู่ที่เดิม จนกระทั่งสงครามยุติ สมัยก่อนชาวเลจะพูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่คุ้นเคยกับทางราชการ เมื่อเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีกากีมาก็มักจะวิ่งหนี

 


ปัจจุบันชาวเลในภูเก็ตมีถิ่นฐานบ้านเรือนอาศัยอยู่เป็นชุมชน  เช่น  ชุมชนสะปา  ชุมชนหินลูกเดียว ชุมชนแหลมหลา ชุมชนสิเหร่ และชุมชนราไวย์ เป็นต้น ข้อมูลนายถวิล หาดทรายทอง กลุ่มอูรักลาโว้ยที่ชุมชนหาดราไวย์ อายุกว่า 80 ปี เล่าว่าตนเองเกิดที่นี่ พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็เกิดที่นี่ ปู่ของนายถวิลเป็นหัวหน้าเผ่า (ครูหมอโต๊ะอาหงิน) และมีหลุมฝังศพของหัวหน้าเผ่าและภรรยาฝังที่ป่าช้าด้วย

 


จากภาพที่ปรากฏ หัวหน้าเผ่าโต๊ะอาหงิน-นั่งกลาง เสียชีวิตตอนอายุ 105 ปี ถ้ายังอยู่ก็จะมีอายุ 144ปี

 


และภาพที่คุณผู้ชมได้เห็นอยู่ในขณะนี้ก็คือผังตระกูลในชุมชนราไวย์ที่เข้ามาอาศัยอยู่ตั้งแต่รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นรุ่นปู่ย่าของทวด ซึ่งก็คือ นายอาหงิน และ นางดาหว๊ย


รุ่นที่ 2 พ่อของทวด คือ นายยาง มีครอบครัวกับ นางเบะล้า


รุ่นที่ 3 ทวด 9 คนและพี่น้อง คือ นายเหม มีครอบครัวกับ  นางหยา และพี่น้องรวม 9 คน


รุ่นที่ 4 ปู่ย่า  7 คนพี่น้อง ซึ่งเป็นรุ่นที่โดนฟ้อง ซึ่งก็คือ นางปราณี มีครอบครัวกับ นายบุญชุบที่ โดนฟ้องและพี่น้องรวม 7 คน


รุ่นที่ 5พี่ น้อง 9 คนพี่น้องซึ่งเป็นรุ่นที่โดนฟ้อง ซึ่ง นางบุญสม มีครอบครัวกับ นายมณี เป็นผู้โดนฟ้อง


รุ่นที่ 6 ลูก 2 คน พี่น้องกัน คือ นายศักดิ์ชัย และ นางพิมพ์ศักดิ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน ซึ่งต่อมา นายศักดิ์ชัย ได้มีครอบครัวกับ น.ส. โนรี และ นางพิมพ์ศักดิ์ ได้มีครอบครัวกับ นายเนกูด้า


รุ่นที่ 7 หลาน 2 คน พี่น้อง คือ ด.ช.เต บุตรของนายศักดิ์ชัย กับ น.ส. โนรี และ ด.ญ.นา บุตรของ นางพิมพ์ศักดิ์ และนายเนกูด้า

 


ซึ่งจากผังตระกูลในชุมชนราไวย์หนึ่งในชุมชนชาวเลราไวย์ แสดงให้เห็นการโยงใยย้อนกลับไปได้ถึง  7 ชั่วอายุคน ยืนยันให้เห็นว่าชุมชนได้อยู่สืบต่อกันมานานนับร้อยปี

 


ปัจจุบันชาวเลบริเวณชายหาดที่ศึกษาอยู่ในเขตอําเภอเมืองตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันลักษณะเป็นชุมชนในพื้นที่ราว  19 ไร่เศษ มีประชากร 244 หลังคาเรือน จํานวนประชากรรวม 2,063 คน ในจํานวนนั้นเป็นเด็กประมาณ 400 – 500 คน

 


สมัยเริ่มแรกที่ชาวเลเข้ามาตั้งถิ่นฐาน  พื้นที่ชุมชนเดิมเป็นป่าทั้งหมด  มีต้นไม้ใหญ่และสัตว์ต่างๆ เช่น เสือ กระจง ฯลฯ ชาวบ้านได้ถางป่าขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ เพื่ออยู่อาศัย การปลูกบ้านในสมัยก่อนปลูกแบบยกพื้นสูง  พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่หรือต้นหมาก  ฝาบ้านใช้ไม้ไผ่หรือใบมะพร้าว  หลังคามุงด้วยจากมะพร้าว  ชาวบ้านใช้น้ำจากบ่อน้ำตื้น  มีการปลูกต้นมะพร้าวซึ่งปัจจุบันยังมีต้นมะพร้าวยืนต้นให้เห็นอยู่บางส่วน ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองชาวไทยใหม่เคยทําไร่ข้าวไว้กินบนที่ดอนแถบเกาะบอน เกาะเฮ แหลมพรหมเทพ แหลมกา โดยทําแค่พอกิน ผู้หญิงและคนชราจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกหลาน ทํางานบ้าน หาฟืน สานเสื่อทําซองยาและทํากระสอบจากเตย หากมีเรือสินค้าผ่านจะนํามะพร้าว ฝักมะรุม กล้วยไปแลกข้าวสารหรือของใช้อื่นๆ

 


ชาวบ้านในสมัยนั้นทําไซ ตกปลา เป็นอาชีพหลัก เบ็ดและด้ายตกปลาทําขึ้นใช้เอง เหยื่อก็ใช้ปลาหมึกหรือเหง้าต้นพลับพลึง จะมีเรือกรรเชียงและเรือใบที่ทําเอง กระแชงใบทําจากต้นเตยป่าตัวเรือทําจากไม้ทั้งต้น บางคนก็สร้างเรือด้วยไม้ระกําเรียกว่าเรือง่าม การออกเรือหาปลาจะมีความรู้ในเรื่องน้ำเป็นอย่างดี รู้ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดปลากับอุณหภูมิน้ำในทะเล รู้จักการดูลมมรสุมล่วงหน้าจากแสงรังสีในบรรยากาศยามพระอาทิตย์ส่องหรือสังเกตจากการลอยของขยะในน้ำทะเลหรือสังเกตจากคลื่นใต้น้ำ

 


การออกเรือหาปลาซึ่งเป็นอาชีพหลัก ชาวบ้านจะแบ่งเป็นกลุ่มที่ออกกลางวันและกลุ่มที่ออกกลางคืน กลุ่มที่ออกกลางวันจะออกตอนเช้า ส่วนใหญ่จะดําปลา ดําหอย ตกปลา ลากเบ็ดราว จนถึงเย็นจึงกลับนําสัตว์น้ำที่จับได้มาขาย ส่วนกลุ่มที่ออกตอนกลางคืนจะนอนในเรือหรือตามชายฝั่ง ส่วนใหญ่จะใช้ไซดักปลา ตกปลา โดยจะออกกู้ไซเดือนละสองสามครั้ง สัตว์น้ำที่ได้ขายให้แม่ค้า

 


ชาวบ้านมีประเพณีฝังศพ เมื่อตายจะเอาฟากไม้ไผ่มาสานรองพื้น ปูทับด้วยเสื่ออีกชั้นด้านในแล้วห่อ จากนั้นเอาไปฝัง เวลามีคนตายจะมีการบอกต่อๆ กัน ชาวบ้านทุกหลังต้องไปหาฟืนคนละท่อน หามเอาปลายนําหน้า เอามารวมกันแล้วสุมไฟล้อมวงคุยกัน เล่านิทานให้เด็กฟังเป็นการอยู่เป็นเพื่อนผู้ตายหนึ่งคืนจึงเอาศพไปฝัง ตอนฝังจะเอาข้าวของคนตายใส่หลุมไปด้วย จึงไม่เหลือของเก่าๆ ให้ลูกหลานดู กลับมาตอนค่ำจะทําข้าวต้มเลี้ยง  3วัน วันที่ 4 จะทําบุญให้คนตาย สุสานมีทั้งหมด ๓แห่งอยู่ บริเวณเกาะเฮ บริเวณศาลโต๊ะบาราย และบริเวณหาดมิตรภาพ

 


นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่บ่งบอกความเป็นชุมชนดั้งเดิมคือ มีบ่อน้ํา ๓บ่อที่ชาวเลใช้ประโยชน์มานาน แต่หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ได้ถูกถมไป ๑บ่อ ต่อมาถูกถมอีก 1 บ่อเมื่อปี พ.ศ.2554ปัจจุบันเหลือเพียง 1 บ่อ อีกทั้งยังมีพื้นที่บารายสําหรับประกอบพิธีกรรมซึ่งแต่เดิมอยู่บริเวณเชิงเขา แต่หลังจากมีเอกชนอ้างสิทธิ์ในที่ดินนั้น ชาวเลจึงย้ายที่ประกอบพิธีกรรมมาอยู่ใกล้บริเวณชุมชนและหน้าชายหาด

 


ในด้านวัฒนธรรมมีการสืบทอดประเพณีพิธีกรรมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในรอบ 1 ปี จะมีพิธีกรรมตั้งแต่เดือน 3 ถึง เดือน  11 เช่น การนอนหาด การไหว้เรือเพื่อสักการะแม่ย่านาง ไหว้ทะเล ไหว้ครูรองเง็ง โต๊ะหมอ กาหยง พิธีทําความสะอาดสุสาน พิธีอาบน้ำมนต์ พิธีลอยเรือหรือปาจั๊ด พิธีกินข้าวกลางบ้าน  ฯลฯ  ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้แสดงถึงความเป็นชุมชนที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่และสืบทอดมาอย่างยาวนาน

 


ปัจจุบันมีผู้อาศัยอยู่ในชุมชนบริเวณชายหาด 244 ครอบครัวจํานวนประชากรรวม2,063คน มีทะเบียนบ้าน 226หลัง โดยเป็นทะเบียนบ้านถาวร 117หลังคาเรือน มีทั้งชาวอุรักลาโว้ยและชาวมอแกน นับถือวิญญาณบรรพบุรุษ ศาสนาคริสต์ และศาสนาพุทธ ในส่วนบัตรประชาชน ได้มีการแก้ไขปัญหาของบัตรประชาชนหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ   โดยความร่วมมือของหลายภาคส่วน ปัจจุบันชาวเลในพื้นที่ศึกษาถือบัตรประชาชนเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาในการเดินทางและย้ายถิ่นฐานรวมถึงการประกอบอาชีพประมงที่มีการเดินทางตลอดเวลา  ซึ่งปัญหาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการบริหารราชการของแต่ละจังหวัดและแต่ละท้องถิ่นจึงทําให้ยังมีประชากรตกหล่นอยู่บ้างเป็นจํานวนพอสมควร

 


สภาพบ้านเรือนในชุมชนมีสภาพทรุดโทรม แออัด มีเพียง 10 %ของจํานวนบ้านเรือนทั้งหมดในชุมชนที่มีห้องสุขา ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้สถานที่ริมทะเลเป็นที่ขับถ่าย

 


ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาในการเดินทางและย้ายถิ่นฐานรวมถึงการประกอบอาชีพประมงที่มีการเดินทางตลอดเวลา  ซึ่งปัญหาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการบริหารราชการของแต่ละจังหวัดและแต่ละท้องถิ่นจึงทําให้ยังมีประชากรตกหล่นอยู่บ้างเป็นจํานวนพอสมควรสภาพบ้านเรือนในชุมชนมีสภาพทรุดโทรม แออัด มีเพียง ๑๐%ของจํานวนบ้านเรือนทั้งหมดในชุมชนที่มีห้องสุขา ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้สถานที่ริมทะเลเป็นที่ขับถ่าย  บริเวณสถานที่ขับถ่ายริมทะเลของชาวเลปัจจุบันชาวเลในพื้นที่ศึกษามีอาชีพหลักคือ หาปลา หาหอย รับจ้างทั่วไป และอาชีพอิสระ มีรายได้เฉลี่ยประมาณครอบครัวละ 617,000 บาทต่อเดือนแต่มีรายจ่ายค่อนข้างสูงไปตามกระแสบริโภคนิยมของสังคมที่มากับการท่องเที่ยวและมาตรฐานการครองชีพของภูเก็ตซึ่งค่อนข้างสูง การศึกษาคร่าวๆ

 


พบว่าชุมชนมีหนี้นอกระบบรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,730,000บาท ซึ่งต้องจ่ายคืนเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยที่สูงร้อยละ 30-60 ต่อเดือน สาเหตุที่ชาวเลต้องกู้หนี้นอกระบบเนื่องจากรายได้ไม่แน่นอน ในหน้ามรสุมออกทะเลไม่ได้ และในพื้นที่หลบมรสุมก็มีประกาศเขตอนุรักษ์หวงห้ามของรัฐเพิ่มขึ้นจํานวนมาก ทําให้ต้องออกทะเลไกลและดําน้ําลึก ซึ่งอันตรายต่อสุขภาพและเสียค่าน้ำมันเรือสูงขึ้น ทั้งนี้ในชุมชนได้มีความพยายามรวมกลุ่มออมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบไปได้ส่วนใหญ่แล้ว

 


ด้านการศึกษา ชาวเลในพื้นที่ศึกษา ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาระดับประถม มีจํานวนถึง 400 คน ระดับมัธยม 150 คน และระดับปริญญา 10 คน

 


สุขภาพอนามัยของชาวเลส่วนใหญ่ไม่ดีนักเนื่องจากชุมชนอยู่อย่างแออัดและมีน้ำขังตลอดปีทําให้มีอาการเจ็บป่วย ที่พบบ่อยในแต่ละปี พบว่าเป็นไข้เลือดออกและไข้มาลาเรีย เนื่องจากชุมชนมีน้ำขังตลอดทั้งปี โรคน้ำหนีบซึ่งจากการดําน้ำจับปลาในเขตน้ำลึกเนื่องจากถูกห้ามไม่ให้หากินในเขตน้ำตื้น

 


และทั้งหมดนี้ก็คือที่มาที่ไปที่สะท้อนให้เห็นว่าชาวเลราไวย์นั้นได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่หลายร้อยปีแล้วแล้วเพราะเหตุใดจึงนำมาสู่เหตุการณ์พิพาทระหว่างชาวราไวย์กับกลุ่มนายทุนที่อ้างเอกสารสิทธิซึ่งในวันพรุ่งนี้สำนักข่าวทีนิวส์ก็จะนำเสนอให้คุณปผู้ชมได้รับทราบต่อไป