- 02 ก.พ. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
วานนี้ ( 1ก.พ. 59 ) หนึ่งในโยบายลดความเหลื่อมล้ำของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เริ่มต้นบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วและถือเป็นอีกครั้งของการบังคับใช้กฎหมาย ในลักษณะการเรียกเก็บภาษีมรดกจากผู้มีอันจะกินทั้งหลายมาเป็นรายได้นำพัฒนาประเทศ หลังจากถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2487 หรือตรงกับในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
"ต้องดูกฎหมายว่าที่ออกมาทำเพื่อใคร เพื่อผมหรือเปล่า เพื่อรัฐบาลหรือเปล่า เพื่อคนรวยหรือเปล่า เพื่อคนจนหรือเปล่า ไปดูตรงโน่น รัฐธรรมนูญก็เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้นแหละ ถ้าจับตรงนั้นดีตรงโน้นไม่ดี แล้วจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยมันเท่ากันหมดไหมตอนนี้ ถ้าไม่เหมือนจะต้องไปหาวิธีการกันมา เพราะกฎหมายทำเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมไม่ใช่หรือ..."
ทั้งนี้หลักการของภาษีมรดก หรือ พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกดังกล่าว ถือเป็นการจัดเก็บเงินภาษีจากผู้รับมรดก โดยผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี คือ
1.บุคคลและนิติบุคคลสัญชาติไทย
2.บุคคลหรือนิติบุคคลต่างชาติแต่มีถิ่น ที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองที่ได้รับมรดกในประเทศไทย
โดยในกรณีที่ผู้รับมรดกเป็นนิติบุคคล ให้ถือว่านิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทยหรือจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายไทย หรือผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นเกิน 15% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในขณะมีสิทธิได้รับมรดกหรือผู้มีสัญชาติไทย เป็นผู้มีอำนาจบริหารกิจการเกินกึ่งหนึ่งของคณะบุคคลซึ่งมีอำนาจบริหารกิจการทั้งหมดเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย แต่อย่างไรก็ตามพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกนี้ จะยกเว้นให้แก่เจ้าของมรดกที่เสียชีวิตก่อนกฎหมายใช้บังคับใช้ , คู่สมรส , หน่วยงานรัฐ , กิจการศาสนา , กิจการศึกษา , กิจการสาธารณประโยชน์ และองค์กรระหว่างประเทศ
ส่วนทรัพย์สินที่จัดว่าเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมรดก ก็คือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ประกอบด้วย 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
1.อสังหาริมทรัพย์
2.หลักทรัพย์
3.เงินฝากหรือตราสารทางการเงิน
4.ยานพาหนะ
ซึ่งตามพ.ร.บ.กำหนดว่าหากแต่ละรายการทรัพย์สินมีมูลค่าสุทธิ หรือมีมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้รับหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดกแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท จะต้องยื่นเสียภาษีนับจากวันที่รับมรดกภายใน 150 วัน และจะมีการพิจารณาทบทวนมูลค่ามรดกทุก 5 ปี โดยนำอัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภคที่กระทรวงพาณิชย์คำนวณเพื่อใช้ในราชการในรอบระยะเวลานั้นมาประกอบการพิจารณาด้วย
จากหลักการทั่วไปเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมรดก ซึ่งถ้าวัดด้วยมูลค่าทรัพย์สินเกินกว่า 100 ล้านบาทแล้ว ก็ต้องย้ำว่านโยบายดังกล่าวนี้ย่อมไม่ก่อผลกระทบกับประชาชนทั่วไป แต่มีเป้าหมายให้เกิดผลโดยตรงกับผู้มีฐานะร่ำรวยและมีหลักการปฏิบัติสำคัญๆ ดังนี้
1. อัตราการจัดเก็บภาษีการรับมรดกดังกล่าว จะจัดเก็บจากมูลค่ามรดกที่ผู้รับได้รับเกินกว่า 100 ล้านบาท ทั้งรับครั้งเดียวหรือรับหลายครั้งรวมกัน โดยหากเกิน 100 ล้านบาทต้องเสียภาษี 10% หรือกรณีเป็นผู้สืบสันดานต้องเสีย 5%
2.ต้องยื่นเสียภาษีภายใน 150 วันนับแต่วันที่ได้รับมรดก
3.หากผู้ที่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีภายในกำหนดเวลาให้เสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของเงินภาษีที่ต้องจ่าย
4.หากยื่นแบบแต่ไม่ถูกต้องครบถ้วนหรือเท็จ ทำให้ยอดภาษีขาดหาย ต้องเสียเบี้ยปรับอีก 0.5 เท่าของภาษีที่เสียเพิ่ม โดยเบี้ยปรับอาจงดหรือลดได้ตามประกาศอธิบดีส่วนเงินเพิ่มหาก
5.หากไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน
6. กรณีที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนกำหนดเวลาการชำระภาษีและได้ชำระภาษีภายในกำหนดเวลาที่เลื่อนให้ปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินเพิ่มเหลือ 0.75% ต่อเดือน
ไม่เท่านั้นผู้ฝ่าฝืนละเมิดกระทำตามพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก อาทิ
1.ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หากไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
2.กรณีไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก หรือ คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
3.หากทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 400,000 บาท
4.ผู้มีส่วนในการกระทำความผิดจะได้รับโทษหรือจงใจยื่นข้อความเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จหรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
5.เจ้าพนักงานแจ้งข้อมูลแก่บุคคลอื่นโดยไม่มีอำนาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพ.ร.บ.เก็บภาษีการรับมรดก จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้างว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกจุด เพราะมีการอ้างอิงว่ากระทรวงการคลังควรเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีให้ทั่วถึงมากกว่ามุ่งเน้นเพิ่มระบบการจัดเก็บคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ แต่อีกมุมหนึ่งกลับเห็นว่าการจัดเก็บภาษีมรดกเป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
โดยมีข้อมูลอ้างอิงว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บภาษีได้จากประชากรเพียง 3.25 ล้านคนหรือคิดเป็น 4.92% ของประชากรทั้งหมด โดยที่ประชากรอีก 95.08% ของประเทศไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ขณะเดียวกันมีผู้ที่ยอมรับว่าตนมีเงินได้เกิน 4 ล้านบาทเศษต่อปี และเสียภาษีให้กระทรวงการคลังในอัตรา 35 % อยู่เพียง 24,709 คน หรือคิดเป็นเพียง 0.0374% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศเท่านั้น จึงมีข้อเสนอในทางกลับกันให้กระทรวงการคลัง พิจารณาดำเนินจูงใจให้ประชาชนที่ไม่ยอมยื่นภ.ง.ด. อีกจำนวน 56.21 ล้านคน หรือ ประมาณ 85.17 % เข้าสู่ระบบการจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง แทนการมุ่งจัดเก็บภาษีกับบุคคลเฉพาะกลุ่มเพียงอย่างเดียว
ขณะที่นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มองว่า นโยบายการเก็บภาษีแบบใหม่ของรัฐบาล เช่น ภาษีมรดกและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นการเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สินไม่ใช่บนฐานรายได้หรือรายจ่าย ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ถูกต้องเพราะปัจจุบันไทยเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สินน้อยเกินไป ขณะเดียวกันการจัดเก็บภาษีมรดกยังถือเป็นนโยบายที่แสดงจุดยืนลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ต้องทำให้การจัดเก็บเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโดยข้อเท็จจริงต้องมีกลุ่มบุคคลพยายามใช้ช่องทางหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าวอย่างแน่นอน
และข้อมูลก่อนหน้านี้มีการสำรวจตรวจสอบพบว่า ภายหลังที่มีการเตรียมนำพ.ร.บ.จัดเก็บภาษีมรดกบังคับใช้ บรรดานักธุรกิจต่างก็มีการโอนถ่ายทรัพย์สินที่ถือครองเพื่อเลี่ยงเข้าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายอย่างเอิกเกริก
โดยจากการสำรวจแบบรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่ปี 2558 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการถือครองหลักทรัพย์ของผู้บริหารเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น
1. ตระกูลปราสาททองโอสถ รายงานการโอนหุ้นกรุงเทพดุสิตเวชการ หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ (BDMS) โดย นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ โอนหุ้น 235 ล้านหุ้นให้บุตรสาว 2 คน คือ นางอาริญาปราสาททองโอสถ นางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ รวมทั้งได้โอนหุ้นการบินกรุงเทพ (BA) ให้กับบุตรสาวทั้ง 2 คน จำนวน 76 ล้านหุ้น
2.ตระกูลทองแตง โดยนายวิชัย ทองแตง โอนหุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพ 173 ล้านหุ้น ให้กับนายอัฐ ทองแตง นายอิทธิ ทองแตง นางสาววิอร ทองแตง และนายอติคุณ ทองแตง
3.ตระกูลถนอมบูรณ์เจริญ หนึ่งในผู้ถือหุ้น ใหญ่หุ้นคาราบาว กรุ๊ป (CBG) โดยนางณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ โอน 30 ล้านหุ้นให้บุตรสาว 2 คน คือ นางสาวณัฐชนก วงศ์สวัสดิ์ นางสาวกิตติมา วงศ์สวัสดิ์
4. ตระกูลมาลีนนท์ เจ้าของหุ้นบีอีซี เวิลด์ (BEC) มีการรายงานขายให้กับบุตรราคาในต่ำกว่ากระดานหลัก โดยนายประชุม มาลีนนท์ ขาย 51 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 32 บาท โดยขายให้กับบุตร 3 คนคือ นายจิรวัฒน์-นางสาว นบชุลี มาลีนนท์ นางสาวปราลี มาลีนนท์ ขณะที่นายประวิทย์ มาลีนนท์ ขาย 117.56 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 32 บาท โดยขายให้กับบุตร 4 คน นายวรวรรธน์ นางสาววัลลิภา นางสาวอรอุมา และนายชฎิล มาลีนนท์
ส่วนนายประสาร มาลีนนท์ 111.66 ล้านหุ้น ในราคา 1 บาท โดยขายกับบุตร 5 คน คือ นายทศพล นางสาวปิ่นกมล นางสาวณวรีย์ นายณพธีร์ และนางสาววาสินี มาลีนนท์ ขณะที่นางรัตนา มาลีนนท์ และนางอัมพร มาลีนนท์ รายงานรับซื้อหุ้น 6.4 ล้านหุ้นราคา 1 บาท โดยรับซื้อจากนางสาวแคทลีน มาลีนนท์ มีฐานะเป็นหลาน
5.ตระกูลพูลวรลักษณ์ เจ้าของหุ้นเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) โดย นายจำเริญ พูลวรลักษณ์ โอน 125 ล้านหุ้นให้บุตรและ คู่สมรสของบุตร คือ นายสุริยา พูลวรลักษณ์ และนางจิตรดี พูลวรลักษณ์ นางประทิน พูลวรลักษณ์ โอน 49 ล้านหุ้นให้บุตรี นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์
6.ตระกูลภาสกรนที เจ้าของหุ้นอิชิตัน กรุ๊ป ICHI โดยนายตัน ภาสกรนที โอนหุ้น 30 ล้านหุ้น ให้ด.ช.ภาสรกร ภาสกรนที ส่วนนางอิง ภาสกรนที โอน 60 ล้านหุ้นให้บุตร/ธิดา คือด.ช.ภาสกร ภาสกรนที และด.ญ. ใกล้นที ภาสกรนที
ขณะที่นิตยสารฟอร์บส ประเทศไทยได้จัดอันดับเศรษฐีไทยประจำปี 2558 ดังนี้
1. นายธนินทร์ เจียรวนนท์ ดีลเมคเกอร์แห่งเครือซีพี ทรัพย์สิน 4.8 แสนล้านบาท
2. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งไทยเบฟเวอเรจ ทรัพย์สิน 4.36 แสนล้านบาท
3. ตระกูลจิราธิวัฒน์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีก ทรัพย์สิน 4.1 แสนล้านบาท
4. นายเฉลิม อยู่วิทยา จากกระทิงแดง ทรัพย์สิน 3.221 แสนล้านบาท
5. นายกฤตย์ รัตนรักษ์ บิ๊กบอสช่อง 7 สี ทรัพย์สิน 1.577 แสนล้านบาท
6. นายวานิช ไชยวรรณ แห่งไทยประกันชีวิต ทรัพย์สิน 1.325 แสนล้านบาท
7. นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เครือกรุงเทพดุสิตเวชการ และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ทรัพย์สิน 9.39 หมื่นล้านบาท
8. นายวิชัย ศรีวัฒนประภา แห่งคิงส์พาวเวอร์ ทรัพย์สิน 8.39 หมื่นล้านบาท
9.นายทักษิณ ชินวัตร ทรัพย์สิน 5.7 หมื่นล้านบาท



