- 11 ก.พ. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
บทสรุปของการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมาก็คือการไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อที่จะทำให้พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายขาดจากความเป็นพระ
ด้วยการกล่าวอ้างถึงกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 พ.ศ.2521 ว่ากระบวนการพิจารณาได้ยุติไปแล้ว และไม่สามารถรื้อฟืนคดีได้ จนกว่าจะมีการร้องเรียนมาจากต้นทางใหม่
มติดังกล่าวไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนักเพราะที่ผ่านๆมา มส.ก็จะใช้คำอธิบายและเหตุผลแบบนี้ เพื่อบ่ายเบี่ยงการเอาผิดกับพระธัมมชโยมาโดยตลอด
โดยในวันนี้สำนักข่าวทีนิวส์อยากจะให้คุณผู้ชมได้พิจารณาความจริงต่อจากนี้ ว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่
คดีความที่เกิดขึ้นกับ “พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย นั่นคือคดียักยอกทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปเป็นสมบัติส่วนตัว
ต้นตอของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาพระธมฺมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม ต่อมา กรมที่ดินได้สำรวจพบ พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ใน จังหวัดพิจิตร และเชียงใหม่
มหาเถรสมาคมจึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีข้อสรุปว่า เป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด
และสมเด็จพระสังฆราชฯ สกลมหาสังฆปรินายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย
แต่ พระธัมมชโย ไม่ยอม กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137 ,147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี
ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชัยโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล สรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก
ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่1กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย
การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด ( นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา
ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือน เศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นายทักษิณ
ชัดเจนว่าพระธัมมชโยได้ทำการยักยอกทรัพย์สินของวัดมาเป็นของตัวเอง แต่เมื่อเรื่องจวนตัวจนศาลเกือบจะพิพากษาให้ติดคุกอยู่รอมร่อ พระธัมมชโยจึงคืนเงินให้แก่วัด และอัยการก็ถอนฟ้อง
ข้อเท็จจริงข้างต้นตามที่กล่าวมานี้ ก็น่าที่จะชัดเจนแล้วว่าพระธัมมชโยต้องปาราชิกหรือไม่
ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาราชิก
คำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเองที่ไม่สามารถปฏิบัติในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้
ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ใน ศีล 227 ได้แก่
1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)
2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาททองคำ)
3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)ยกเว้นสำคัญตนผิด
อาบัติปาราชิกทั้ง 4 นี้เป็นอาบัติหนักที่เรียกว่า อเตกิจฉา คือไม่สามารถแก้ไขได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้นสมเด็จพระสังฆรายังได้เขียนพระลิขิต ซึ่งถือว่าเป็นพระบัญชาให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก อย่างชัดเจน แต่ก็ถูกฝ่ายของธรรมกายบิดเบือนว่าเป็นพระลิขิตของปลอม ก่อนที่ในวันนี้ถูกหน่วยงานต่างออกมายืนยันว่าเป็นของจริง
5 เมษายน พ.ศ.2542
ฉบับที่ 1
“ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที
ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด ทันที
หลังจากที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มีพระลิขิตฉบับที่ 1 ออกมาแล้วนั้น อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ยังมิได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่วัด สมเด็จพระสังฆราชจึงมีพระลิขิตฉบับอื่นๆ ตามมาดังต่อไปนี้
26 เมษายน พ.ศ.2542
ฉบับที่ 2
ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ฉบับที่ 3
การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม
ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม
ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น
ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน
1 พฤษภาคม พ.ศ.2542
ฉบับที่ 4
ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม
10 พฤษภาคม พ.ศ.2542
ฉบับที่ 5
ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
เป็นที่ชัดเจนว่าพระลิขิตฉบับสุดท้าย หรือฉบับที่ 5 สมเจพระสังฆราชได้เน้นย้ำไปถึงมหาเถรสมาคมและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกนั้น ก็เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย
แต่ทว่าในวันนี้ที่ประชุมมหาเถรสมาคมกลับกล่าวอ้างไปต่างๆนานา เกี่ยวกับกระบวนการจนไม่มองในข้อเท็จจริงว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระธรรมวินัยหรือไม่
และทางสำนักข่าวทีนิวส์ก็อยากที่จะให้คุณผู้ชมได้ฟังการเทศน์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ถึงมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2547 ที่ถูกนำมาเผยแพร่ทางยูทูปในชื่อเรื่อง สงสารพระสังฆราช
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายต่อหลายครั้งที่หลวงตามหาบัวได้เทศน์ถึงมหาเถรสมาคมเอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ตั้งมหาเถรสมาคมขึ้นมา เพราะเป็นจุดรวมของผู้อยู่ใต้ปกครองทั้งหลายจะได้รับอุบายวิธีการต่างๆ ที่ถูกต้องดีงามจาก มส. คือมหาเถรสมาคมนี้ไปปฏิบัติ แต่นี้มันไปทำกันอย่างนั้น มหาเถรสมาคมทำอะไรอยู่ เป็นยังไง ได้เอามาวินิจฉัยใคร่ครวญยังไงบ้างหรือเปล่า หรือมันไปหาตั้งแต่พวกมหาโจรเข้ามาเป็นพรรคเป็นพวก มหาเถรสมาคมก็เลยกลายเป็นมหาโจรไปด้วยกันอย่างนั้นเหรอ มันอดคิดไม่ได้นะ..
..ทางพระก็หน้าด้านแบบพระ ฆราวาสก็หน้าด้านแบบฆราวาส เป็นมหาโจรด้วยกันได้ทั้งคู่เสมอกันเลย คือพวกนี้เอง นี้ยังไม่ได้เกษียณ สมัครเข้าไปแล้ว จะเข้าไปเป็นแกนนำอยู่ในมหาเถรสมาคม นี่ทราบแล้วนะนี่ เราคอยฟังอยู่เวลานี้ จะไปแกนนำในมหาเถรสมาคม ถ้าไปเป็นแกนนำในมหาเถรสมาคมแล้วก็เรียกว่า มหาเถรสมาคมนี้คือกองทัพใหญ่ของมหาโจรปล้นชาติปล้นศาสนา จะว่ายังไงถ้าไม่พูดอย่างนั้น จะเกิดขึ้นที่จุดนี้ ถ้าไม่ให้ไอ้นี้ออก มหาเถรสมาคมจะเป็นกองเดียวกัน จะต้องถูกฟัดกันเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน นั่น เอาพูดอย่างนั้นซิ
๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
มหาเถรสมาคมนี้นะ พระสงฆ์ไทยเราได้สาปแช่งตำหนิแล้ว ขับออกจากคณะภิกษุสงฆ์ไทย มอบให้เป็นโรงงานใหญ่มหาโจรปล้นศาสนา โดยมีสมเด็จ..(ตําแหน่ง สมณศักดิ์).. เป็นหัวหน้าใหญ่เป็นมหาโจรอยู่ในมหาเถรสมาคมนั้นแล้ว หลวงตาบัวได้พูดออกมาแล้วคำนี้ เพราะฉะนั้นว่ามหาเถรสมาคมนั้นๆ นี้ๆ เราจึงฟังไม่มีความหมายอะไรเลย เราพูดตรงๆ อย่างนี้ เพราะพวกนี้ทำความเจ็บแสบแก่ศาสนามากมาย ทำลายศาสนาได้มากที่สุด มีสมเด็จเสียด้วยนะเป็นมหาโจรอยู่ในวงศาสนาเวลานี้ พูดให้ชัดๆ เอ้า โต้มาหลวงตาขึ้นเวทีแล้วไม่มีถอยใคร จะเอาตั้งแต่ความสัตย์ความจริงออกพูดเท่านั้น ความจอมปลอมหลอกๆ ลวงๆ อย่าเอามาพูด อย่าเอามาหลอก เราหลอกไม่เป็น ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกใคร พูดอย่างตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก อันนี้ทำความเสียหายมากมายมานานแล้วมหาเถรสมาคม
นี่ละมหาเถรสมาคมนี้เป็นมหาโจร ทราบทั่วกันแล้วบรรดาพระสงฆ์ไทยไม่มีใครยอมรับ มีแต่พวกมหาโจรนี้ยอมรับกันเท่านั้นเอง เราพูดในขั้นนี้ก่อน ให้พากันเข้าใจตามนี้ นี้เราพูดตามหลักความจริง เอาความจริงมาพูด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจอมปลอมหลอกลวงต้มตุ๋นมาตลอด พวกนี้ไม่มีความจริง มีแต่สิ่งทำลายๆ ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นมหาโจรใหญ่
และว่าด้วยเรื่องของพระชั้นผู้ใหญ่บางรูปบางกลุ่มที่ลุ่มหลงกับลาภยศ และประพฤติปฏิบัติไม่ดีงามในอดีตก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วว่าสามารถถูกถอดออกจากตำแหน่งได้เหมือนกัน
12 ม.ค.2559 นายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม โพสต์เฟสบุ๊คยกตัวอย่าง ในอดีต พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ที่ทรงปลด 'พระสังฆราช' ในสมัยนั้น ออกจากตำแหน่ง แล้วสถาปนา สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราช สถิต วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และทรงกวาดล้างพวกอลัชชี ที่อาศัยผ้าเหลืองหากินเช่นกัน
ตำแหน่งสังฆราช ไม่ใช่เรื่องของสงฆ์คณะเดียว แต่เป็นเรื่องของชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชน ดังนั้น ผู้ที่จะเป็น'สังฆราช' ได้นั้น ต้องปราศจากเรื่องมัวหมองทั้งปวง ฉะนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่ นายกรัฐมนตรีจะต้องสะสางเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ นายไพศาล ได้แชร์ กฎพระสงฆ์ (ปราบพระชั่ว) พ.ศ. ๒๓๒๕ ฉบับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงตราขึ้นใว้เพื่อประกอบการสังคายนาพระไตรปิฎกปาฬิ พ.ศ. ๒๓๓๑ ที่แชร์มาจาก Pudit Sukhasvasti ซึ่งมีข้อความดังนี้
กฎพระสงฆ์ (ปราบพระชั่ว) พ.ศ. ๒๓๒๕
ฉบับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงตราขึ้นใว้เพื่อประกอบการสังคายนาพระไตรปิฎกปาฬิ พ.ศ. ๒๓๓๑
● ..บัดนี้พระสงฆ์อันนับเข้าในพระพุทธชิโนรสมิได้มีหิริโอตัปปะ คบหากันทำอุ(จาด)ลามกเป็นอลัชชีภิกษุ คือเสพสุรายาเมา..
● กระทำจอมปลอมเหมือนสามเณร.. แลซึ่งพระสงฆ์สามเณร
● กระทำจลาจลปล้นพระศาสนาดั่งนี้ เพราะพระสงฆ์ราชาคณะ.. ละเมินเสีย มิได้ดูแลกำชับห้ามปราม
● บัดนี้ ให้พระราชาคณะ ฐานานุกรม สังฆการี ธรรมการ ราชบัณฑิตย์
พร้อมกันชำระพระสงฆ์ซึ่งเป็นอลัชชีภิกษุ พิจารณารับเป็นสัจ..
● ให้พระราชทานผ้าขาวสึกออกเสียจากพระศาสนา..
● แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ถ้าผู้ใดเห็นพระสงฆ์กระทำอุ(จาด)ลามกเป็นอลัชชี.. ทำให้ผิดเพศสมณะ ไม่ต้องด้วยพระวินัยบัญญัติ ให้ว่ากล่าวตักเตือน..






