- 20 มี.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ยังคงเดินหน้าตามนโยบายของ คสช.อย่างต่อเนื่อง สำหรับการปราบปรามมาเฟีย โดยยึดกฎหมายไม่เลือกปฏิบัติ ล่าสุดก็มีคำสั่งจาก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้มีการย้ายรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 มาช่วยราชการ ซึ่งก็มีการคาดการณ์ถึงการถูกสั่งย้ายในครั้งนี้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล
พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งโยกย้ายให้ พลตำรวจตรี สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคำสั่งตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม และให้มารายงานตัวแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
ขณะที่พลตำรวจโทธเนตร์ พิณเมืองงาม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ระบุว่า การโยกย้ายดังกล่าวเป็นเรื่องจริง แต่ไม่สามารถระบุถึงรายละเอียดต่างๆ ได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร หรือเกี่ยวข้องกับนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ คสช. ได้เน้นย้ำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการใน 16 ฐานความผิดหรือไม่ ดังนั้นต้องไปสอบถามผู้บัญชากการตำรวจแห่งชาติเอง
อย่างไรก็ตามทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมามีการสืบทราบว่ามีตำรวจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลเกือบ 200 นาย และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง เข้ามาช่วยงานปราบปรามในคดีสำคัญๆ มาแล้วหลายนาย
ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ กล่าวว่า ไม่ได้ถูกย้ายเพราะเกี่ยวข้องกับฐานความผิด 16 ข้อตามที่เป็นข่าว ถูก ผบ.ตร.เรียกมาทำงานพิเศษที่ศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับคนร้ายภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง รอง.ผบ.ตร. โดยเป็นการช่วยราชการไม่ได้ย้ายขาด ผู้บังคับบัญชาเรียกไปช่วยทำงานชั่วคราวเท่านั้น
ทั้งนี้สำหรับ พล.ต.ต.สุรพล เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 34 รับราชการดำรงตำแหน่งต่างๆใน บช.ภ.2 มายาวนาน ทั้งยังเป็นที่รู้จักของประชาชนในพื้นที่ ปกติเป็นนายตำรวจที่ผู้ใต้บังคับ บัญชาชื่นชม มักเข้าไปช่วยเหลือและดูแลสารทุกข์ สุกดิบของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผย ถึงการตรวจค้นปราบปรามผู้มีอิทธิพล ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลของกลางที่ตรวจยึดได้ หลังจากที่ได้ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายไปหลายจุด เบื้องต้นจากการสอบปากคำผู้ต้องหา ให้การซัดทอดถึงขบวนการ โดยจากนี้จะรวบรวมหลักฐาน และขยายผลให้สุดทาง พร้อมเชื่อว่าข้อมูลที่มีอยู่จะเป็นปะโยชน์พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจค้นดังกล่าว เป็นการบูรณาการ หาพื้นที่เป้าหมายร่วมกัน จึงไม่ถือว่าเป็นความบกพร่องของสถานีตำรวจนครบาลในพื้นที่ ทั้งนี้จะเดินหน้าปราบปรามอย่างต่อเนื่อง
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล หรือ มาเฟีย ในส่วนของทหารนั้น พันเอก ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระบุว่า มีรายชื่อทหารที่เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ และ นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายไว้อย่างชัดเจนว่าต้องดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้นขออย่ากังวล ซึ่งยืนยันว่าจะไม่เลือกปฏิบัติ
ทั้งนี้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้เผยแพร่พฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลเอาไว้ 16 มูลฐาน ซึ่งพูดง่ายๆ ว่าใครมีพฤติกรรมในลักษณะนี้จะต้องถูกดำเนินคดี
1.นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ
2.ฮั้วประมูลงานราชการ
3.หักค่าหัวคิวรถรับจ้าง
4.ขูดรีดผู้ประกอบการ
5.ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี
6.เปิดบ่อนการพนัน
7.ลักลอบค้าประเวณี
8.ลักลอบนำคนเข้า-ออกประเทศโดยผิดกฎหมาย
9.ล่อลวงแรงงานไปยังต่างประเทศ
10.แก๊งต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
11.มือปืนรับจ้าง
12.รับจ้างทวงหนี้ด้วยการข่มขู่ใช้กำลัง
13.ลักลอบค้าอาวุธสงคราม ปืนเถื่อน
14.บุกรุกที่ดินสาธารณะ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
15.เรียกรับผลประโยชน์บนเส้นทางสาธารณะ
16.ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวกับยาเสพติด
หากย้อนกลับไปดูในอดีตเรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพลไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่ผ่านมาหลายรัฐบาลล้วนชูการปราบปรามผู้มีอิทธิพลต่างกรรมต่างวาระ โดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนว่า นโยบายดังกล่าว ที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังขับเคลื่อนนี้กำลังกระทบกับระบอบทักษิณ
ยุทธการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลของคณะรักษความสงบแห่งชาติ(คสช.)ผ่านรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า
คสช.ระลอกล่าสุดซึ่งเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เมื่อต้นเดือนทีผ่านมาถือเป็นยุทธวิธีเชิงรุกครั้งสำคัญนอกจากเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศแล้วยังเป็นการสลายขุมกำลังและลดทอนอิทธิพลของขบวนการบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลทั่วประเทศโดยเฉพาะระบอบทักษิณในขณะเดียวกัน รวมทั้งขจัดอุปสรรค์ขัดขวางการปฏิรูปประเทศในช่วงที่กำลังจะมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือนก.ค.นี้ และจะมีการเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแม็พในปลายปีหน้า
หลังการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 คสช.ได้ส่งกำลังทหารเป็นหน่วยหลักเปิดยุทธการกวาดล้างบรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศครั้งใหญ่ทำให้สามารถจับกุมขบวนการก่อการร้ายเสื้อแดงของระบอบทักษิณพร้อมอาวุธสงครามได้จำนวนมากโดยเฉพาะที่จ.ขอนแก่นหรือขอนแก่นโมเดลที่กำลังทหารบุกจับกุมกลุ่มก่อการร้ายเสื้อแดงได้กว่า 20 คนใน
อพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งพร้อมคลังแสงอาวุธทั้งระเบิด เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนจำนวนมาก โดยผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมบางส่วนรับสารภาพว่าได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ในต่างแดนเป็นเงินเบื้องต้น 5 ล้านบาทเพื่อให้เตรียมก่อวินาศกรรมด้วย
ระเบิดครั้งใหญ่ทั่วประเทศเพื่อล้มคสช. โดยเริ่มที่จ.ขอนแก่นเป็นแห่งแรก
นอกจากที่จ.ขอนแก่น คสช.ยังกวาดล้างขบวนการก่อการร้ายเสื้ดแดงในอีกหลายจังหวัดอาทิ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สมุทรสงคราม รวมทั้งในกทม.
จากการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลและกลุ่มก่อการร้ายในครั้งนั้นทำให้ประเทศเกิดความสงบเรียบร้อย และสกัดแผนก่อการร้ายครั้งใหญ่โดยระบอบทักษิณลงได้แทบจะสิ้นเชิง แต่ก็ยังไม่ผู้มีอิทธิพลที่ให้การสนับสนุนระบอบทักษิณในระดับท้องถิ่นอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังรอดเงื่อมมือกฏหมายและฝังตัวรอคอยโอกาสที่จะทำให้ระบอบทักษิณพลิกสถานการณ์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
บรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลนั้นมีทั้งมาเฟียคนมีสี มาเฟียค้ายาเสพติด มาเฟียทำธุรกิจมืดผิดกฏหมาย มาเฟียเรียกค่าคุ้มครอง ซึ่งเหล่ามาเฟียผู้มีอิทธิพลมักจะเชื่อมโยงทางการเมืองโดยให้การสนับสนุนพรรคการเมืองและนักการเมืองเพื่อใช้เป็นเกราะปกป้องคุ้มกันตัวเอง
ยุทธการเชิงรุกกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศครั้งล่าสุดนอกจากเพื่อจัดระเบียบประเทศให้เกิดความสงบเรียบร้อยแล้ว ยังมีเป้าหมายสำคัญเพื่อขจัดปัญหาอิทธำพลอำนาจมืดซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อสถานการณ์ประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านโดยเฉพาะก่อนที่จะมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือนก.ค.นี้ หรือช่วงการณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไปภายหลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้
ยุทธการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลซึ่งเริ่มที่ จ.นครปฐมเป็นแห่งแรกเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมาโดยใช้กำลังทหารบุกเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 6 จุดในช่วงเช้ามืดในเวลาพร้อมกันสามารถควบคุมตัวผู้มิมีอิทธิพลและยึดอาวุธได้เป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ จ.นครปฐมถือเป็นหนึ่งในจังหวัดภาคกลางที่เต็มไปด้วยมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้งซุ้มมือปืน และสิ่งผิดกฏหมาย โดย 3 ใน 6 จุดที่ถูกกวาดล้างเป็นตระกูลเครือญาตของอดีตส.ส.ลายครามคนหนึ่ง
ข้อน่าสังเกตุก็คือยุทธการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศของคสช.ตลอดช่วงที่ผ่านมาใช้กำลังทหารเป็นหลักและปฏิบัติการแบบลับสุดยอดโดยไม่ให้ฝ่ายตำรวจรู้ล่วงหน้า เพราะเกรงข่าวรั่วทำให้บรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลไหวตัวจนทำให้การบุกเข้าตรวจค้นคว้าน้ำเหลว
บรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลนั้นล้วนเชื่อมโยงเกี่ยวข้องทางการเมืองโดยบางคนให้การสนับสนุนหรือเป็นหัวคะแนนให้พรรคการเมืองหรือนักการเมือง หรือมาเฟียผู้มีอิทธิพลบางคนอาจเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ
ภายใต้ยุทธการกวาดล้างมาเฟียครั้งล่าสุดนี้เดิมทีมีรายชื่อบิ๊กทหารหรือนักการเมืองชื่อดังหลายคนตกเป็นข่าวถูกตั้งข้อสังเกตุว่าอยู่ในบัญชีรายชื่อเป้าหมายที่จะถูกกวาดล้าง อาทิ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร.อ.ธรรมนัส หรือมนัส พงษ์เผ่า นักธุรกิจผู้กว้างขวาง หรือ นายการุณ โหสกุล อดีตส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย
สำหรับ เสธ.ไอซ์ นั้นเป็นผู้กว้างขวางระดับตำนานมาช้านาน และเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) เพื่อนร่วมรุ่นของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ส่วน พล.อ.ชัยสิทธิ์ นั้นเป็นญาติผู้พี่ของ นายทักษิณ ซึ่งก่อนหน้านี้ตกเป็นข่าวที่ถูกอ้างว่ามีส่วนโยงใยกับเหตุก่อจลาจลทั่วกทม.โดยม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 2552 รวมทั้งเหตุการณ์การปาระเบิดที่ศาลอาญา ขณะที ร.อ.ธรรมนัส นั้นเคยเป็นลูกน้องของ เสธ.ไอซ์ ภายหลังแยกตัวออกมาทำธุรกิจของตัวเองและพัวพันกลุ่มเสื้อแดง ด้าน นายการุณ ถือเป็นหนึ่งในผู้กว้างขวางย่านดอนเมืองซึ่งทำธุรกิจที่ไม่เป็นที่แน่ชัดแต่ถือเป็นผู้มีอิทธิพลต่อฐานคะแนนเสียงสำคัญของระบอบทักษิณในย่านดอนเมืองและใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก กลับปฏิเสธข่าวรายชื่อนายทหารและนักการเมืองชื่อดังที่ตกเป็นข่าวทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง โดยยืนยันว่าเป็นข่าวไม่จริงซึ่งไม่รู้สื่อไปเอาข่าวมาจากไหน
จากการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศของคสช.ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทำให้บรรดาเหล่าขบวนการผิดกฏหมายและธุรกิจมืดสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล ทำให้ขบวนการสีดำเหล่านี้วางแผนที่จะล้มคสช. โดยหันไปจับมือสนับสนุนฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับคสช.นั่นคือระบอบทักษิณ
ยุทธการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงย้ำว่ามีรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศถึง 6,000 ชื่อซึ่งจะต้องกวาดล้างอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลา 2 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมสร้างความสั่นสะเทือนต่อระบอบทักษิณอย่างมาก เพราะหัวคะแนนสำคัญของระบอบทักษิณทั้งหลายทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยโยงใยกับเหล่ามาเฟียผู้มีอิทธิพล ซึ่งเมื่อถูกกวาดล้างป้องปรามจนกระดิกตัวไม่ได้ย่อมทำให้การที่จะเดินเกมช่วงชิงอำนาจรัฐทั้งบนดินและใต้ดินของระบอบทักษิณถูกบล็อกอย่างสิ้นเชิงอันจะมีผลต่อการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าในปีหน้าด้วย






