- 25 มี.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
มาถึงประเด็นทางสังคมว่าด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษากันบ้าง ซึ่งแม้จะเป็นที่รับรู้กันมาโดยตลอดถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กับขั้นตอนปฏิบัติแก้ไขดูเหมือนว่าจะยิ่งกลายดินหอกหางหมูไปทุกขณะ สำหรับปัญหาหนี้สินติดค้างจนถึงวันนี้มากกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้จากการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดย นายปรเมศวร์ สังข์เอี่ยม ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้ กยศ. ระบุว่า จากการรวบรวมข้อมูลตามรอบบัญชีงบประมาณ จนถึงเดือนม.ค. 2559 มีผู้กู้เงินจากกองทุนกยศ.ที่อยู่ในกลุ่มจะต้องถูกฟ้องมีมากถึงกว่า 1.9 แสนราย คิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีตัวเลขจากผู้กู้ที่ครบสัญญาการกู้ยืม15 ปีแล้ว แต่ไม่เคยติดต่อชำระหนี้เลย ถูกนำเข้ามารวมด้วยเป็นครั้งแรก จากเดิมที่จะมีการดำเนินการฟ้องร้องเฉพาะผู้ที่ค้างชำระตั้งแต่ 5 งวดขึ้นไป
และถ้ารวมผลผู้ที่อยู่ในข่ายถูกฟ้องคดี ทำให้ยอดรวมขณะนี้มีผู้กู้เงินกยศ.ซึ่งถูกฟ้องดำเนินคดีแล้วเพิ่มเป็น 8 แสนราย ซึ่งในจำนวนนี้มีกลุ่มที่เข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย 1 แสนราย โดยมียอดเงินที่ยังค้างชำระประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดี 3.6 หมื่นล้านบาท
ขณะที่แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหา ทางด้านนายปรเมศวร์ ระบุว่า โดยหลักการทางกยศ.ต้องการให้ผู้กู้ยืมเงินที่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกฟ้อง 1.9 แสนราย เร่งเข้ามาติดต่อขอชำระหนี้โดยเร็ว เพราะหากถูกฟ้องหรือถึงขั้นถูกยึดทรัพย์บังคับคดีแล้ว จะมีผลถึงผู้ค้ำประกันด้วย เนื่องจากขั้นตอนการสืบทรัพย์ และบังคับคดี ทางเจ้าหน้าที่บังคับคดีจะลงไปตรวจสอบทั้งหมดว่าผู้กู้ หรือผู้ค้ำมีทรัพย์สินใดที่สามารถนำมาชำระหนี้ได้บ้าง และถ้าพบก็จะถูกยึดนำไปขายทอดตลาดทันที
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ต้องยอมรับว่าถ้าไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่ต้นก็อาจมองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กับข้อมูลที่ปรากฏก็ชัดเจนว่าเรื่องนี้ที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังในทุกมิติ เพราะมุมหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเยาวชนส่วนหนึ่งกำลังมีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ ขณะเดียวกันยังถือเป็นการสร้างความเสียหายกับเงินงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย
โดยเฉพาะข้อมูลจากจากสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งระบุว่า ตลอดปี 2558 ที่ผ่านมามีคดีผู้บริโภคฟ้องร้องศาลชั้นต้นทั่วราชอาณาจักรจำนวน 5.2 แสนคดี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.88 หมื่นคดี หรือคิดเป็น 15.21% ที่สำคัญคดีผู้บริโภคที่มีการฟ้องร้อง 5 อันดับแรก ได้แก่
1.คดีสินเชื่อส่วนบุคคล จำนวน 172, 000 ข้อหา
2. คดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 92,700 ข้อหา
3. คดีบัตรเครดิต 64,800 ข้อหา
4. คดีเช่าซื้อรถยนต์ 46,700 ข้อหา
5.คดีเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 5,565 ข้อหา
ทางด้าน นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า เท่าที่มาดูตัวเลขของเงินกู้กยศ. พบตัวเลขจากการดำเนินโครงการที่เป็นหนี้เสียกว่า 50% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่สูงมาก ดังนั้นจำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นให้ผู้กู้กว่า 4.5 ล้านราย วงเงินกู้กว่า 4.7 แสนล้านบาท เร่งรีบใช้หนี้คืนตามกำหนดเพื่อที่ในอนาคตกยศ.จะสามารถใช้เงินที่ได้รับคืนมาไปปล่อยกู้ให้นักเรียน นักศึกษารุ่นต่อๆ ไป โดยไม่ต้องของบประมาณจากรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมากยศ.เองมีโครงการจูงใจผู้กู้ให้มาใช้หนี้ ทั้งมาตรการลดดอกเบี้ยให้ และลดค่าปรับ แต่ในภาพรวมต้องถือว่าผู้กู้ที่ผิดสัญญายังเข้ามาร่วมโครงการกันน้อยมาก
นายสมชัย กล่าวด้วยว่า ในส่วนของข้าราชการเป็นหนี้กยศ. และไม่ยอมใช้หนี้กว่า 6 หมื่นรายนั้น จะได้พยายามติดตามให้ข้าราชการทั้งหมดใช้หนี้โดยเร็ว ด้วยการขอให้หน่วยงานราชการมาเข้าร่วมโครงการกับกยศ. ซึ่งการลงนามระหว่างหน่วยงานนายจ้างกับกยศ.จะทำให้กยศ.สามารถหักบัญชีรายเดือนสำหรับคนที่เป็นหนี้ได้ทันที แต่หลักเกณฑ์การหักต่อเดือนก็จะไม่สูงมาก เพียง 100 บาท สำหรับหนี้ 1 แสนบาท หรือปีละประมาณ 1,500 บาท ซึ่งแน่นอนว่าย่อมดีกว่าถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและต้องให้ออกจากราชการ เพราะปัญหาด้านคดีที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งล่าสุดมีองค์กรนายจ้างภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 36 แห่ง ที่จะเข้าร่วมโครงการสนับสนุนให้ผู้กู้ยืมเงิน กยศ.ชำระเงินคืนกองทุนฯ เพราะเห็นว่าเป็นการลดความเสี่ยงไม่ให้บุคลกรในสังกัดถูกฟ้องดำเนินคดีหรือถูกยึดทรัพย์ในกรณีเป็นผู้กู้ยืมที่ค้างชำระ
และนอกเหนือจากแนวทางในเชิงการเจรจา เพื่อลดภาระการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมกองทุนกยศ.และทำให้การติดตามมูลหนี้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว อีกหนทางหนึ่งซึ่งกยศ.จะเริ่มดำเนินการก็คือการใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มข้น
โดย น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป กยศ.จะนำชื่อผู้กู้ทั้งรายเก่า และรายใหม่ ประมาณ 4.5 ล้านคนเข้าสู่ระบบข้อมูลเครดิตบูโร เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการทำให้ผู้ค้างชำระหนี้กยศ.ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง โดยหากใครชำระหนี้ตามปกติ ก็ไม่ต้องเสียเครดิต แต่ถ้าไม่ชำระจะถูกขึ้นบัญชีหรือติดแบล๊กลิสต์ทันที รวมถึงแนวทางที่มีการเสนอเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาดำเนินการด้วยการร่วมหารือกับสำนักงานประกันสังคม ในการเช็กข้อมูลผู้กู้ที่มีการทำประกันสังคม เพื่อตามมาชำระหนี้ รวมถึงกำลังประสานไปยังกระทรวงมหาดไทย ขอให้ไม่ต่ออายุบัตรประชาชนให้ผู้ที่ไม่ใช้หนี้ กยศ. ซึ่งกระทรวงมหาดไทยกำลังตรวจสอบขั้นตอนว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่
ขณะเดียวกันเมื่อต้นเดือนมี.ค. ทีผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เพิ่งมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. ... โดยการควบรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) มาอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้
ซึ่ง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.คือการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาขึ้นมาใหม่ โดยยังคงมีเป้าหมายให้เงิน กู้ยืมแก่นักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือเรียนดีเพื่อศึกษาในสาขาวิชาที่จำเป็นหรือขาดแคลน แต่มีเงื่อนไขว่าผู้กู้มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้ทั้งหมดคืนให้กับกองทุน และต้องยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือเปิดเผยข้อมูลเงินกู้ยืมและการชำระเงินคืนกองทุน
นอกจากนี้ร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดด้วยว่า เมื่อผู้กู้ยืมเงินเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐและเอกชนให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ส่งข้อมูลบุคลากรในสังกัดให้กองทุนตรวจสอบว่าเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือไม่ และมีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเหมือนกับหนี้ค่าภาษี ทั้งนี้เพื่อปิดช่องโหว่การผิดนัดชำระหนี้กองทุนเพื่อการศึกษาเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
ทางด้าน น.ส.ฑิตติมา เปิดผยว่าร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการศึกษา คาดหมายจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2559 และประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวได้ในปีการศึกษา 2562 โดยสาเหตุที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที เพราะอยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านข้อมูลต่างๆ รวมถึงต้องทำความเข้าใจกับนักเรียนและ ผู้ปกครองถึงรายละเอียดที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับใหม่ด้วย โดยเฉพาะกรณีแบ่งผู้กู้ออกเป็น 4 กลุ่ม จากเดิมมี 2 กลุ่ม คือ ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ และกลุ่มผู้กู้ในสาขาขาดแคลนและเป็นความต้องการหลักของประเทศ
โดยกลุ่มที่เพิ่มมา คือ กลุ่มผู้กู้ในสาขาขาดแคลนและเป็นความต้องการของประเทศในอนาคต อาทิ สาขาด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่มีผู้เรียน และกลุ่มผู้เรียนดี ซึ่ง 2 กลุ่มที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจต้องปรับหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจาก 2 กลุ่มแรก อาทิ ไม่พิจารณาฐานรายได้ครอบครัวขั้นต่ำเพื่อจูงใจ และเปิดโอกาสให้เด็กเรียนดี ได้เรียนในสาขาที่ขาดแคลน และเป็นความต้องการของประเทศมากขึ้น



