ถึงเวลารัฐเอาไล่บี้คนมีการศึกษามักง่าย !? หลังพบ "หนี้กยศ." ติดค้างกว่า 5.5 หมื่นล้าน !!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 

มาถึงประเด็นทางสังคมว่าด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษากันบ้าง   ซึ่งแม้จะเป็นที่รับรู้กันมาโดยตลอดถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น  แต่กับขั้นตอนปฏิบัติแก้ไขดูเหมือนว่าจะยิ่งกลายดินหอกหางหมูไปทุกขณะ  สำหรับปัญหาหนี้สินติดค้างจนถึงวันนี้มากกว่า  5.5  หมื่นล้านบาท

 

 


ทั้งนี้จากการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดย นายปรเมศวร์  สังข์เอี่ยม  ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้   กยศ.  ระบุว่า  จากการรวบรวมข้อมูลตามรอบบัญชีงบประมาณ จนถึงเดือนม.ค. 2559  มีผู้กู้เงินจากกองทุนกยศ.ที่อยู่ในกลุ่มจะต้องถูกฟ้องมีมากถึงกว่า  1.9 แสนราย   คิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 22,000  ล้านบาท   เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา  เนื่องจากมีตัวเลขจากผู้กู้ที่ครบสัญญาการกู้ยืม15 ปีแล้ว แต่ไม่เคยติดต่อชำระหนี้เลย   ถูกนำเข้ามารวมด้วยเป็นครั้งแรก  จากเดิมที่จะมีการดำเนินการฟ้องร้องเฉพาะผู้ที่ค้างชำระตั้งแต่ 5 งวดขึ้นไป     

 


และถ้ารวมผลผู้ที่อยู่ในข่ายถูกฟ้องคดี  ทำให้ยอดรวมขณะนี้มีผู้กู้เงินกยศ.ซึ่งถูกฟ้องดำเนินคดีแล้วเพิ่มเป็น  8  แสนราย ซึ่งในจำนวนนี้มีกลุ่มที่เข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย 1 แสนราย  โดยมียอดเงินที่ยังค้างชำระประมาณ   5.5 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดี 3.6 หมื่นล้านบาท 

 


ขณะที่แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหา  ทางด้านนายปรเมศวร์   ระบุว่า  โดยหลักการทางกยศ.ต้องการให้ผู้กู้ยืมเงินที่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกฟ้อง 1.9 แสนราย เร่งเข้ามาติดต่อขอชำระหนี้โดยเร็ว  เพราะหากถูกฟ้องหรือถึงขั้นถูกยึดทรัพย์บังคับคดีแล้ว จะมีผลถึงผู้ค้ำประกันด้วย   เนื่องจากขั้นตอนการสืบทรัพย์ และบังคับคดี  ทางเจ้าหน้าที่บังคับคดีจะลงไปตรวจสอบทั้งหมดว่าผู้กู้  หรือผู้ค้ำมีทรัพย์สินใดที่สามารถนำมาชำระหนี้ได้บ้าง และถ้าพบก็จะถูกยึดนำไปขายทอดตลาดทันที

 


จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ต้องยอมรับว่าถ้าไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่ต้นก็อาจมองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กับข้อมูลที่ปรากฏก็ชัดเจนว่าเรื่องนี้ที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังในทุกมิติ  เพราะมุมหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเยาวชนส่วนหนึ่งกำลังมีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์  ขณะเดียวกันยังถือเป็นการสร้างความเสียหายกับเงินงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย

 


โดยเฉพาะข้อมูลจากจากสำนักงานศาลยุติธรรม  ซึ่งระบุว่า ตลอดปี 2558  ที่ผ่านมามีคดีผู้บริโภคฟ้องร้องศาลชั้นต้นทั่วราชอาณาจักรจำนวน 5.2 แสนคดี  เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน  6.88 หมื่นคดี หรือคิดเป็น  15.21%    ที่สำคัญคดีผู้บริโภคที่มีการฟ้องร้อง 5 อันดับแรก ได้แก่  

1.คดีสินเชื่อส่วนบุคคล    จำนวน   172, 000    ข้อหา

2. คดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)  92,700  ข้อหา

3. คดีบัตรเครดิต     64,800  ข้อหา

4. คดีเช่าซื้อรถยนต์   46,700  ข้อหา

5.คดีเช่าซื้อรถจักรยานยนต์    5,565    ข้อหา

 


ทางด้าน   นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง  ในฐานะประธานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า    เท่าที่มาดูตัวเลขของเงินกู้กยศ.   พบตัวเลขจากการดำเนินโครงการที่เป็นหนี้เสียกว่า 50% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่สูงมาก  ดังนั้นจำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นให้ผู้กู้กว่า 4.5 ล้านราย   วงเงินกู้กว่า 4.7 แสนล้านบาท     เร่งรีบใช้หนี้คืนตามกำหนดเพื่อที่ในอนาคตกยศ.จะสามารถใช้เงินที่ได้รับคืนมาไปปล่อยกู้ให้นักเรียน  นักศึกษารุ่นต่อๆ ไป โดยไม่ต้องของบประมาณจากรัฐบาล   ซึ่งที่ผ่านมากยศ.เองมีโครงการจูงใจผู้กู้ให้มาใช้หนี้   ทั้งมาตรการลดดอกเบี้ยให้  และลดค่าปรับ แต่ในภาพรวมต้องถือว่าผู้กู้ที่ผิดสัญญายังเข้ามาร่วมโครงการกันน้อยมาก

 


นายสมชัย กล่าวด้วยว่า ในส่วนของข้าราชการเป็นหนี้กยศ. และไม่ยอมใช้หนี้กว่า 6 หมื่นรายนั้น จะได้พยายามติดตามให้ข้าราชการทั้งหมดใช้หนี้โดยเร็ว ด้วยการขอให้หน่วยงานราชการมาเข้าร่วมโครงการกับกยศ.   ซึ่งการลงนามระหว่างหน่วยงานนายจ้างกับกยศ.จะทำให้กยศ.สามารถหักบัญชีรายเดือนสำหรับคนที่เป็นหนี้ได้ทันที แต่หลักเกณฑ์การหักต่อเดือนก็จะไม่สูงมาก เพียง 100 บาท สำหรับหนี้ 1 แสนบาท หรือปีละประมาณ 1,500 บาท  ซึ่งแน่นอนว่าย่อมดีกว่าถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและต้องให้ออกจากราชการ  เพราะปัญหาด้านคดีที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้   ซึ่งล่าสุดมีองค์กรนายจ้างภาครัฐและภาคเอกชน  จำนวน  36 แห่ง   ที่จะเข้าร่วมโครงการสนับสนุนให้ผู้กู้ยืมเงิน   กยศ.ชำระเงินคืนกองทุนฯ    เพราะเห็นว่าเป็นการลดความเสี่ยงไม่ให้บุคลกรในสังกัดถูกฟ้องดำเนินคดีหรือถูกยึดทรัพย์ในกรณีเป็นผู้กู้ยืมที่ค้างชำระ

 


และนอกเหนือจากแนวทางในเชิงการเจรจา เพื่อลดภาระการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมกองทุนกยศ.และทำให้การติดตามมูลหนี้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว   อีกหนทางหนึ่งซึ่งกยศ.จะเริ่มดำเนินการก็คือการใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มข้น          

 


โดย  น.ส.ฑิตติมา  วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)   เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี   2561  เป็นต้นไป กยศ.จะนำชื่อผู้กู้ทั้งรายเก่า และรายใหม่ ประมาณ 4.5 ล้านคนเข้าสู่ระบบข้อมูลเครดิตบูโร เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการทำให้ผู้ค้างชำระหนี้กยศ.ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง โดยหากใครชำระหนี้ตามปกติ   ก็ไม่ต้องเสียเครดิต  แต่ถ้าไม่ชำระจะถูกขึ้นบัญชีหรือติดแบล๊กลิสต์ทันที  รวมถึงแนวทางที่มีการเสนอเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาดำเนินการด้วยการร่วมหารือกับสำนักงานประกันสังคม ในการเช็กข้อมูลผู้กู้ที่มีการทำประกันสังคม   เพื่อตามมาชำระหนี้   รวมถึงกำลังประสานไปยังกระทรวงมหาดไทย   ขอให้ไม่ต่ออายุบัตรประชาชนให้ผู้ที่ไม่ใช้หนี้ กยศ. ซึ่งกระทรวงมหาดไทยกำลังตรวจสอบขั้นตอนว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่

 


ขณะเดียวกันเมื่อต้นเดือนมี.ค. ทีผ่านมา  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ก็เพิ่งมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. ...  โดยการควบรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) มาอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้

 


ซึ่ง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี   ระบุว่า   สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.คือการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาขึ้นมาใหม่   โดยยังคงมีเป้าหมายให้เงิน   กู้ยืมแก่นักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือเรียนดีเพื่อศึกษาในสาขาวิชาที่จำเป็นหรือขาดแคลน   แต่มีเงื่อนไขว่าผู้กู้มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้ทั้งหมดคืนให้กับกองทุน   และต้องยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือเปิดเผยข้อมูลเงินกู้ยืมและการชำระเงินคืนกองทุน

 


นอกจากนี้ร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดด้วยว่า   เมื่อผู้กู้ยืมเงินเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐและเอกชนให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล  ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ส่งข้อมูลบุคลากรในสังกัดให้กองทุนตรวจสอบว่าเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือไม่ และมีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเหมือนกับหนี้ค่าภาษี ทั้งนี้เพื่อปิดช่องโหว่การผิดนัดชำระหนี้กองทุนเพื่อการศึกษาเหมือนที่ผ่าน ๆ มา 

 


ทางด้าน  น.ส.ฑิตติมา เปิดผยว่าร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการศึกษา  คาดหมายจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2559   และประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวได้ในปีการศึกษา 2562  โดยสาเหตุที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที  เพราะอยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านข้อมูลต่างๆ   รวมถึงต้องทำความเข้าใจกับนักเรียนและ ผู้ปกครองถึงรายละเอียดที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับใหม่ด้วย   โดยเฉพาะกรณีแบ่งผู้กู้ออกเป็น 4 กลุ่ม  จากเดิมมี 2 กลุ่ม คือ ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ และกลุ่มผู้กู้ในสาขาขาดแคลนและเป็นความต้องการหลักของประเทศ

 


โดยกลุ่มที่เพิ่มมา คือ กลุ่มผู้กู้ในสาขาขาดแคลนและเป็นความต้องการของประเทศในอนาคต อาทิ  สาขาด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ  ที่ยังไม่มีผู้เรียน และกลุ่มผู้เรียนดี ซึ่ง 2 กลุ่มที่เพิ่มขึ้น   ขณะเดียวกันก็อาจต้องปรับหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจาก  2 กลุ่มแรก อาทิ  ไม่พิจารณาฐานรายได้ครอบครัวขั้นต่ำเพื่อจูงใจ  และเปิดโอกาสให้เด็กเรียนดี ได้เรียนในสาขาที่ขาดแคลน และเป็นความต้องการของประเทศมากขึ้น