- 09 เม.ย. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
การที่ประเทศไทยในยุคคสช.ได้ทำหน้าที่ประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้รับการยอมรับ ในฐานะประเทศที่มีบทบาทอย่างสำคัญ ระดับโลก
ภารกิจสำคัญของพล.อ.ประยุทธ์ อันน่าภคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศก็คือ สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับของนานาชาติที่มีต่อประเทศไทยแล้ว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" การที่ประเทศไทย ได้รับรางวัล Nuclear Industry Summit Awards ในระหว่างการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ 4 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกานั้น ผมถือว่าเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ที่เราได้รับการยอมรับ ในฐานะประเทศที่มีบทบาทอย่างสำคัญ ระดับโลก ในการกำจัดและการกำกับดูแลการใช้สารกัมมันตรังสีในประเทศในทางสันติ โดยมีมาตรการที่รัดกุมในเรื่องความมั่นคงทางนิวเคลียร์
ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันและรักษาวัสดุนิวเคลียร์วัสดุกัมมันตรังสีไม่ให้ไปอยู่ในความครอบครองของกลุ่มบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ไทยเราให้ความสำคัญกับการรักษาและเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในครั้งนี้มี 17 ประเทศทั่วโลก ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ผมถือว่าเป็นการยกระดับฐานะของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในสายตาชาวโลก เหมือนอย่างที่เราได้รับเกียรติ ให้เป็นประธานกลุ่ม G77 ซึ่งเราสามารถใช้เป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือ และการเสริมเสริมบทบาทนำในเรื่องอื่นๆ ตามมาด้วย
สำหรับรางวัล Nuclear Industry Summit Awards ที่ได้รับนั้น ในฐานะประเทศที่มีบทบาทนำในระดับโลก ในการกำจัด highly enriched uranium ไม่ให้มีอยู่ในประเทศไทย ร่วมกับ 17 ประเทศทั่วโลก อาทิ บราซิล ชิลี เด็นมาร์ก เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นสามชาติอาเซียนที่ได้รับรางวัลดังกล่าวนี้ นอกจากจะเป็นเกียรติแก่ประเทศไทยแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าไทยยึดมั่นและปฏิบัติต่อพันธกรณีที่มีแก่ต่างประเทศด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการปฏิรูปและวางรากฐานการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปบางอย่างเร่งด่วนมากไม่ได้จะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต
แต่ทว่าก็ยังมี ท่าทีของสหรัฐกลุ่มชาติตะวันตกบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะรับรู้สถานการณ์ของประเทศไทยนับตั้งแต่ช่วงปี 2552 แต่แท้จริงแล้วไม่เคยเข้าใจเลยว่าหลังเหตุการณ์วันที่ 22 พ.ค. 2557 จนมาถึงวันนี้อะไรคือปัจจัยสำคัญทำให้ประเทศไทยอยู่ในความสงบมาอย่างต่อเนื่องถ้าไม่ใช่การทำหน้าที่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะคสช.
ชัดเจนตรงไปตรงมาเหมือนเพราะไม่ว่าจะมีรูปธรรมชัดเจนขนาดไหน หรือมีการชี้แจงรายละเอียดอย่างไร ดูเหมือนชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐและกลุ่มสหภาพยุโรปหรืออียู ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และคสช.ในเชิงลบ
ล่าสุด European Union in Thailand" ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยึดมั่นในหลักการของเสรีภาพในการแสดงออกและความคิดเห็นและยอมรับฟังเสียงต่างๆ ทุกเสียง โดยอ้างว่าเป็นผลสำคัญเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปสำหรับการลงประชามติที่เป็นธรรมตามความประสงค์ของประชาชนไทยทุกคนและเพื่อให้ประชาชนทุกคนยอมรับในผลนั้นๆ
ไม่เพียงเท่านั้นแนวคิดของสหภาพยุโรปที่เดินคู่ขนานมากับสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด ก็ยังทำให้เห็นว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม เมื่อมีการพาดพิงถึงคำสั่งที่ 13/2559 ของ คสช. ซึ่งสหภาพยุโรปอ้างว่าเป็นการให้อำนาจอย่างกว้างขวางต่อคณะบุคคลอย่างพลการ โดยละเมิดหลักนิติธรรมและลิดรอนสิทธิในการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและหลักกระบวนการอันควรแห่งกฎหมายซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดไปจากพลเมือง
และกับท่าทีของสหภาพยุโรปหนนี้ ทำให้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับการประคับประคองสถานการณ์ประเทศให้เดินหน้าไปตามโรดแมปอย่างคสช.ต้องออกมาอธิบายข้อเท็จจริงให้กับสหภาพยุโรปเข้าใจถึงข้อเท็จจริง
โดยทางด้าน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ระบุว่า ต้องขอขอบคุณอียู และทุกภาคส่วนที่แสดงความห่วงใยมาในที่นี้ แต่การแสดงออกและแสดงความคิดเห็นต่างๆ มีความจำเป็นต้องคำนึงและเคารพถึงกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำประชามติด้วย ซึ่งในที่นี้ย้ำว่าคสช.ก็เคารพกฎหมายและปฏิบัติทุกขั้นตอนด้วยความเท่าเทียม เพราะในฐานะเจ้าหน้าที่ก็ต้องรู้อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติหน้าที่จะไปสามารถละเมิดกฎหมายได้ ที่สำคัญทุกคนที่เป็นคนไทยยังต้องเคารพกฎหมายฉบับเดียวกัน
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นกระทรวงต่างประเทศของไทย ได้สื่อสารทำความเข้าใจทิศทางการเดินหน้าประเทศไทยต่อจากนี้ในหลายประเด็นสำคัญ อาทิ
1. รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นการดำเนินการตาม Roadmap โดยกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ตาม Roadmap เพื่อการลงประชามติ ซึ่งในชั้นนี้กำหนดเป็นวันที่ 7 สิงหาคม 2559ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปภายในปี 2560
2. การร่างรัฐธรรมนูญเป็นกระบวนการที่เปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม และรัฐบาลมีความชัดเจนในการนำพาประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย โดยขณะนี้ การร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จและอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการเพื่อการลงประชามติ โดยในระหว่างนี้ รัฐบาลมุ่งเน้นการดำเนินการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และมีเป้าหมายคือ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
3. ประเด็นสิทธิมนุษยชนและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่ 13/2559 ขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยเคารพหลักการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยการดำเนินการเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย มีความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ยึดหลักนิติธรรม รวมถึงมุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
4. แนวคิดการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์สำหรับผู้นำ หรือ แกนนำประชาชนทั่วไปนั้น ยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักปฏิบัติสากล แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยและการป้องกันความแตกแยกในสังคมด้วย เนื่องจากขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงของการปฏิรูปเพื่อนำสู่ความปรองดองภายในประเทศ โดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมดังกล่าวเป็นการดำเนินการอย่างสุภาพชน ไม่มีการใช้ความรุนแรงและอาจมีการเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย
5. ไทยมีความพร้อมที่จะปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศ องค์การระหว่างประเทศและภาคส่วนต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ และพร้อมเปิดรับฟังคำแนะนำและข้อคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ และยินดีที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหลายประเทศให้ข้อเสนอแนะอย่างฉันมิตร และได้พยายามมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการดำเนินการตาม Roadmap ของไทย ในการนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่า สถานเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปในประเทศไทยต่างรู้ถึงสถานการณ์ในไทยดีที่สุด จึงหวังว่าจะรับฟังข้อมูลและความเห็นจากทั้งสองด้านเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอันจะนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือที่ใกล้ชิดและผลประโยชน์ร่วมกัน
พฤติกรรมของสหภาพยุโรป คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าคุณสมบัติของสหภาพยุโรปที่พยายามวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลและคสช.ในสายตาคนไทยส่วนใหญ่จริง ๆ วันนี้ยังอยู่ในระดับที่เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ทั้ง ๆ อีกมุมหนึ่งความสัมพันธ์ของไทยกับสหภาพยุโรปควรจะรุดหน้าไปกว่านี้ถ้าสหภาพยุโรปไปติดกับดักทางการเมืองที่ฝ่ายสูญเสียอำนาจจากการถูกรัฐประหารพยายามชี้นำให้เกิดขึ้น

