"สนธิญาณ" ย้ำอีกหน! "มะกัน" ศัตรูเบอร์ 1 คนไทย ยิ่งผนึก "ระบอบทักษิณ" ยิ่งอันตราย ต้องการฐานทัพ "อู่ตะเภา" เพื่อก่อสงคราม

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tnews.co.th

รายการ "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2559  ออกอากาศทางช่อง ทีนิวส์ ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร เกื้อสกุล (ถา) ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย)  กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ทีนิวส์ทีวี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

สนธิญาณ : เรื่องความคืบหน้าที่นคร ผมเรียนว่า พอดีได้มีเวลาคุยกับคุณวิทยา แก้วภราดัย ความจริงคนถามกันมากเรื่องสหรัฐอเมริกาว่า สรุปแล้วเป็นอย่างไร มีส่วนหรือไม่มีส่วนอย่างไร ผมต้องเรียนว่า ถึงนาทีนี้สหรัฐอเมริกาเป็นตัวปัญหาของประเทศไทยแน่นอน เป็นสิ่งที่เราจะต้องจับตา ในแง่มุมของประชาชนคนไทยไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนะครับ ไม่เกี่ยวกับท่าทีของภาครัฐที่ผมเรียนแบบนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ต้องย้อนกลับมาดูข้อเท็จจริงของสหรัฐอเมริกาในสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ได้ทำหนังสือไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อแจ้งเตือนว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักโทษหนีคำพิพากษาของศาลอาญาจึงขอให้ประเทศนั้น ๆ ส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือหากจับตัวได้ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือไม่เช่นนั้นก็ให้ประกาศไม่ให้เข้าประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ดำเนินการตามคำขอของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งคุณทักษิณไม่มีโอกาสในการที่จะเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเลย จนกระทั่งปรากฏว่าในเดือนมิถุนายน 2555 สหรัฐอเมริกาได้แจ้งมายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าสิ่งที่เคยขอไว้ที่จะให้องค์การนาซ่าเข้ามาสำรวจสภาพภูมิอากาศในละแวกแถบนี้ หมายถึงแถบภูมิภาคเอเชียนะครับ ก็ถึงเวลาแล้วที่นาซาจะเข้ามาทำงานแล้ว กลายเป็นประเด็นสำหรับประเทศไทยทันที เพราะสถานที่ที่นาซาอย่างจะเข้ามาทำงานคือ ฐานทัพอู่ตะเภา วันนี้ผมจะเรียงเรื่องลำดับความเป็นมาให้เห็นชัด ทีนี้ที่ฐานทัพอู่ตะเภาที่นาซาต้องการจะใช้ เมื่อปรากฏเป็นข่าวขึ้นกลายมาเป็นประเด็นการเมืองอันร้อนแรงทันที นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในขณะนั้นซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้แถลงแจกแจงว่า ได้หารือประเทศเพื่อนบ้านประเทศใกล้เคียงไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครคัดค้านไม่มีใครมีปัญหา แต่ปรากฏว่า ทางด้านสามเหล่าทัพที่ผมเรียนมาโดยตลอด ได้แสดงท่าทีที่คัดค้าน ส่งผลให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ได้ดำเนินการตั้งคณะทำงานขึ้น โดยมีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม รองนายกฝ่ายความมั่นคง ศาลสูงสุด ปลัดกลาโหม และสามเหล่าทัพได้ทำการหารือกัน ในระหว่างที่หาเรือประมาณวันที่ 18 มิถุนายน 2555 ฝ่ายกองทัพก็มีความเห็นว่า ขอให้คิดและพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน ข้ออ้างที่ฝ่ายกองทัพอ้างกับรัฐบาลในขณะนั้นก็คือจะขัดมาตรา 190 วงเล็บ1 ไหมเพราะว่า เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ทางรัฐบาลก็บอกว่าไม่น่าจะขัด เป็นเรื่องการเข้ามาใช้เพื่อสภาพอากาศ แต่กองทัพก็บอกว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องของกิจการต่างประเทศ กิจการระหว่างประเทศ ดังนั้นควรอย่างยิ่งที่จะเข้ารัฐสภาก็เลยค้างคา เพราะดำเนินการไม่ได้ แต่ระหว่างที่ดำเนินการไม่ได้เพราะคณะทำงานยังไม่มีข้อสรุปและเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ ก็ปรากฏว่า ในเดือนสิงหาคมถัดมา เพียง 1 เดือน ทางสหรัฐอเมริกาก็ออกวีซ่าให้กับทักษิณ ชินวัตร และเป็นการเริ่มต้นให้ทักษิณสามารถเดินทางเข้าสู่สหรัฐอเมริกาได้นับตั้งแต่บัดนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้น ได้มีการแลกเปลี่ยนกันจริง ๆ ระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับสหรัฐอเมริกาในเรื่องของการให้นาซาเข้ามาใช้ฐานทัพอู่ตะเภากับให้ทักษิณเดินทางเข้าประเทศ และในแง่ข้อเท็จจริงตอนนั้นได้ปรากฏข่าวชัดเจนว่า กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้เคลื่อนอุปกรณ์ที่จะต้องใช้เดินทางมาแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อทางการไทยไม่ตกลง การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ยุติลง ผมเรียนต่อว่า กลับไปทบทวนดูสิครับ นั่นคือการแลกเปลี่ยนกันระหว่างผลประโยชน์ของประเทศชาติกับเรื่องส่วนตัว เพราะระหว่างที่คณะทำงานประชุมกันวันที่ 18 มิถุนายน ต่อมาในวันที่ 20 มิถุนายน ผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการกองกำลังของจีนที่ดูแลการรับผิดชอบกำลังทั้งหมดของประเทศจีนก็ได้เดินทางมาเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเหล่าทัพของไทย ในถ้อยแถลงต่าง ๆ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่เกี่ยวกัน ไม่เกี่ยวข้องกับฐานทัพอู่ตะเภาเป็นการมาเยี่ยมเยือนธรรมดา แต่เป็นวาระที่ไม่ได้กำหนดการมาก่อน การแสดงออกมาดังกล่าวเป็นท่าทีที่ไม่สบายใจ ผมย้ำนะครับว่าเมื่อวานได้บอกได้เรียนเอาไว้ว่า ญี่ปุ่นกำลังแก้รัฐธรรมนูญให้มีกองทัพได้ ญี่ปุ่นขัดแย้งกับจีน สหรัฐอเมริกาก็ขัดแย้งกับจีน ที่ญี่ปุ่นที่น่าสนใจมากในขณะนี้คือ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่นเป็นผู้หญิงนะครับ และมีความคิดชาตินิยมสุดขั้ว ปกติในการที่ญี่ปุ่นบุกไปยังประเทศต่าง ๆ ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลญี่ปุ่นที่ผ่านมาก็พยายามจะขอโทษหรือแสดงความรู้สึกรับผิดชอบต่อปัญหา โดยเฉพาะที่หนานจิงที่จีน ซึ่งถือว่าญี่ปุ่นได้ไปก่อเหตุอย่างรุนแรงร้ายแรงไว้มาก รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นหญิงผู้นี้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผู้สื่อข่าวถาม เธอบอกว่าญี่ปุ่นไม่เคยผิด ไม่เคยรุกราน นี่แสดงให้เห็นถึงท่าที วันนี้ที่หยิบยกเอาเรื่องสหรัฐอเมริกามาพูด ว่าสหรัฐอเมริกายังเป็นภัยต่อไปกับประเทศไทย ตราบใดที่สหรัฐอเมริกายังไม่ได้วัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ เพราะสถานการณ์โลกบีบบังคับในการที่จะนำพาไปให้เกิดสงครามเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นถึงวันนี้คนไทยนิ่งนอนใจไม่ได้ ต้องจับตาดูสหรัฐอมริกา รัฐบาลก็ว่าไปในแง่มุมของรัฐบาล แต่คนไทยจะต้องชัดเจนว่าวันนี้ใครคือมิตรประเทศ ใครคือศัตรูของประเทศไทย