สนธิญาณ ชี้!! ถึงเวลา"ปฏิรูปวงการสงฆ์" เหตุพระยึดติด"ตำแหน่ง" และ"ผลประโยชน์"ขัดกับหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

รายการ สดลึกจริง ช่วง "ชนุตราถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 ออกอากาศทางช่อง ไบรท์ทีวี หมายเลข 20 ดำเนินรายการโดย คุณชนุตรา เพชรมูล ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย) บรรณาธิการอำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

สนธิญาณ ชี้!! ถึงเวลา"ปฏิรูปวงการสงฆ์" เหตุพระยึดติด"ตำแหน่ง" และ"ผลประโยชน์"ขัดกับหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้!!

 

 

                ชนุตรา : คงจะเป็นปัญหาที่พูดในเมื่อเบรกที่แล้วค่ะเรื่องของวงการสงฆ์ ตอนนี้นะคะนอกจากเรื่องของทุจริตเงินทองแล้วยังมีเรื่องของซื้อขายตำแหน่งในวงการสงฆ์มาด้วย คำถามก็คือว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังคะที่จะปฏิรูปวงการสงฆ์กันซักทีค่ะตอนนี้

สนธิญาณ : ถึงเวลาแล้วอย่างยิ่งครับ แล้วก็ควรที่จะดำเนินการมาตั้งนานแล้ว เหตุผลไม่มีอะไรเลยครับ เหตุผลก็คือว่าวงการสงฆ์เนี่ยคล้ายๆกับวงการตำรวจนะ เป็นองค์กรที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง จำนวนก็ใกล้เคียงกันนะ ผมจะเรียน ตำรวจกับพระเนี่ย ตำรวจมีอยู่ 2 แสน พระมีอยู่ 3 แสน ตำรวจมีอิทธิพลด้วยกฎหมายที่อยู่ในมือไม่รู้กี่พันฉบับในฐานะผู้รักษากฎหมาย คณะสงฆ์มีความศรัทธา ความเชื่อ โดยเฉพาะความศรัทธา ความเชื่อที่ปราศจากความรู้ หรือภาษาที่พระพุทธเจ้าสอนอยู่เป็นอวิชชา ยิ่งทำให้ความเหลวแหลกในวงการสงฆ์เนี่ยเกิดขึ้นอย่างมากมาย แล้วก็แบบเดียวกัน ตำรวจก็พยายามให้เป็นอิสระ วงการสงฆ์ก็พยายามอย่างยิ่งให้เป็นอิสระ ปกครองตัวเอง ไม่ขึ้นกับฝ่ายบ้านเมือง พอฝ่ายบ้านเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะเป็นดังเหมือนว่าเนี่ยนะครับ ดังข่าวที่รายงานไปแล้ว ยกตัวอย่างนะครับ พระเนี่ยมีตำแหน่งนะครับ และมีพัดยศเช่นเดียวกับตำรวจน่ะ ไม่เกี่ยวกับทหารนะ ตำรวจเขาต้องมียศเป็นร้อยตำรวจตรี ร้อยตำรวจโท ร้อยตำรวจเอก พันตำรวจตรี พันตำรวจโท พันตำรวจเอก จะรู้กันเลยว่าถ่าพันตำรวจตรียศแบบนี้ พันตำรวจโทยศแบบนี้ เป็นสารวัตร เป็นรองผู้กำกับ พันตำรวจเอกเป็นรองผู้กำกับ เป็นรองผู้บังคับการ สงฆ์ก็มีแบบเดียวกันครับ มีตั้งแต่พระธรรมดาไปจนถึงพระครู ตำแหน่งเบื้องต้น ยศเบื้องต้น ยศเป็นพระครู จากพระครูก็เป็นพระราชาคณะ มีเป็นยศ ซึ่งพระราชคณะชั้นสามัญเนี่ย ก็จะเรียกท่านเจ้าคุณแล้วนะครับ เวลาเราเรียกว่า อ๋อท่านเจ้าคุณโน้น ท่านเจ้าคุณนี้เนี่ย ก็จะเป็นท่านเจ้าคุณ มีพระราชาคณะชั้นสามัญแล้วก็เลื่อนมาเป็นชั้นราช ชั้นเทพ เลื่อนกันมาแบบนี้นะ แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นรองสมเด็จฯ แล้วก็เป็นสมเด็จ แล้วทีนี้เป็นยังไงครับ พระอยากได้ชั้นยศเหล่านี้ เพราะหลังจากนั้นจะมีตำแหน่งตามมาคุณชนุตรา ตำแหน่งคืออะไร ตำแหน่งการบริหารก็มีตั้งแต่ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ก็เลื่อนไปตามลำดับ ตำแหน่งแห่งหนเนี่ยมีการปกครอง ในการปกครองเนี่ยนะครับ ภายใต้ความศรัทธาของชาวพุทธไทยที่มีต่อศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก มีวรรคอยู่ประมาณ 30,000 วรรค 30,000 วรรคเนี่ย เรานึกเลยว่า ทำบุญเนี่ยนะวัดละล้าน ปีหนึ่งก็มีเงินสะพัด 30,000 ล้าน แต่ความจริงเนี่ยมันรวมมาแล้วมากกว่า เงินสะพัดอยู่ในวัดเนี่ยนะ เกี่ยวข้องกับวัดในเรื่องของการทำบุญเนี่ยนับแสนล้าน เป็นแสนล้าน ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพระ ธุรกิจร้านขายสังฆทาน ขายอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระเนี่ยนะ เป็นไปด้วยดี ไม่นับสิ่งที่มีติดมากับวัดคืออะไรคุณชนุตรา ที่ดินและทรัพย์สินของวัด เพราะวัดเนี่ยตั้งขึ้นตามชุมชนแต่แรก ตั้งแต่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยยังไม่เจริญ ที่ดินวัดก็ขยาย จองกันไว้ มีคนถวายไว้แบบนั้น ทุกวันวัดจึงมีรายได้จากธุรกิจ ย้ำนะ วัดจึงมีรายได้จากธุรกิจให้เช่าที่ดิน ให้เช่าตึกแถว ตึกแถวก็ไม่ใช่วัดสร้างนะ  เอกชนไปสร้างตึกแถว ถึงเวลา 20 ปี ตกเป็นของวัด หลังจากนั้นก็จะมีการบริหารผลประโยชน์ของวัด นี่ไม่นับงานศพในแต่ละวัดนะ ที่มีการบริจาคต่อพระสงฆ์ตัวๆ มากมายมหาศาล คำถามมากมายว่าคณะสงฆ์กับสังคมไทยเนี่ยอยู่ด้วยกันมาแต่สิ่งหนึ่งที่อย่าลืม คณะสงฆ์ต้องอย่าลืมว่าท่านมาบวชเนี่ยมาบวชทำอะไร ถ้าจะมาบวชเอาพัดยศ เอาตำแหน่งเนี่ยหรอ อยากเป็นเจ้าคุณหรอ จะมาบวชทำไม พระพุทธเจ้าบอกให้มาบวชเนี่ย มานำทาง มาชี้ เพราะเราหลงอยู่ในวัฏสงสาร หลงอยู่ในอวิชชา หลงอยู่ในความไม่รู้ ความจริง สัจจะความจริงคืออะไร สัจจะความจริงอันแรกก็คือทุกสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรจริงจังเที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตั้งอยู่ไม่ได้ แม้แต่ร่างกายของเรายังไม่ได้เป็นของเราเอง พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านสอนมาอย่างนี้ แล้วเป็นไง คณะสงฆ์ปัจจุบันเนี่ย คณะสงฆ์ปัจจุบันเนี่ยได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม มีบ้าง มีพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่จะมีพระจำนวนหนึ่ง หลงใหลกับยศ หลงใหลกับผู้มีอำนาจ ผมระบุเลย ท่านเจ้าคุณพิพิธ ยกตัวอย่างวัดสุทัศน์ที่ออกมาทำท่าจะบอยคอต แล้วทำการรณรงค์เนี่ยนะกับท่านผู้อำนวยการสำนักพุทธน่ะ ชัดเจน มาตั้งเพราะสังฆาธิการ เดี๋ยวจะไปตรวจสอบดูซิตั้งอยู่ที่ไหนอย่างไร ทีนิวส์ไปช่วยตรวจสอบหน่อยคุณชนุตรา ดูตัวตนว่าเป็นอย่างไร ตั้งมาเคลื่อนไหว เอาเงินจากประชาชนเลย อยู่ๆแทนที่จะละวาง ผมจะเรียนนะพระพุทธเจ้าสอน เราทำความเข้าใจกัน การที่ให้รักษาศีล ให้ประชาชนคนธรรมดารักษาศีล 5 เพื่อให้จิตมีเมตตา การไม่เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อรักษาใจให้มีเมตตา เมื่อตัวเองมีเมตตาขึ้นมาเรื่อยๆ ธรรมก็จะบังเกิดขึ้นในใจที่เรียกว่าพรหมวิหาร 4 มันจะเกิดขึ้น     ในใจ ไม่ใช่จะต้องมาสอน มาสอบบาลีเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่ มันจะเกิดขึ้นว่า อ๋อ ชีวิตเรา สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ จากที่เรามองไม่เห็นนะ เทวดา เปรต อสูรกาย สัตว์นรกทั้งหลายก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงมีเมตตา มีกรุณา และต้องมีมุทิตา ต้องยินดีกับเขา และถ้ามีอะไรกระทบต้องวางอุเบกขา นี่เป็นหลักธรรมเบื้องต้น เป็นหลักธรรมพื้นฐาน ผมถามซิ พระที่จะออกมาเคลื่อนไหว มาทำอะไรอยู่ทุกวันเนี่ยมีสิ่งเหล่านี้เหรอ นี่เป็นพื้นฐานเลย พื้นฐานของธรรมที่จะเกิดขึ้นในใจสำหรับคนที่รักษาศีล ไม่ต้องนับศีล 5 นี่ถือศีล 227 ข้อ เป็นอะไรทำไม่ไหว แต่เวลาไปดี๊ด๊าถ่ายรูปกับผู้มีอำนาจ ผมถามว่าเพราะฉะนั้นเจ้าคุณเนี่ยมีประโยชน์อะไร พัดยศที่ได้มาเนี่ยมีประโยชน์อะไร และถ้าชาวพุทธเราทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าเป็นพระชั้นสมเด็จ โอ้โห ได้ทำบุญกับพระที่มีชั้นยศ เนื้อนาบุญไม่ได้อยู่ที่พัดยศ พระพุทธเจ้าไม่เคยตั้งคุณชนุตรา ไม่มีหรอกครับเป็นสิ่งสมมติ แล้วสมมติโดยพระเองแล้วมาบอกชาวบ้านเขา เพราะฉะนั้นวันนี้จำเป็นอย่างยิ่งนะ อีกเรื่องนึงข่าวสาร เอาจริงเรื่องนี้ ผอ.สำนักพุทธก็ว่าไป สำนักบัญชีก็ว่าไป บัญชีออมสินควบคุมดูแล รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ถือโอกาสที่เตรียมการเนี่ย ตามไล่เรียงกันดู ที่จะเข้าไปดูแลควบคุมเงิน มีคนมาขอดูบัญชีในบ้าน จะได้อย่างไร นี่เป็นพระนะ นิติบุคคลเป็นสาธารณะนะครับ วัดเนี่ยเป็นนิติบุคคลสาธารณะนะครับ ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของพระ พระเนี่ยนะควรจะมีของอัตถะบริหารเพียงเพื่อการธุดงค์เท่านั้น นี่อำนาจรัฐจะเข้าไปดูเงินทองไม่ได้ จะมาบวชทำไม นี่ไม่ใช่คำบ่น ไม่ใช่คำด่าว่าพระนะครับ แต่จะเรียนให้เข้าใจว่ามันผิดหลักพระพุทธศาสนา เพราะมันถึงเวลาอย่างยิ่งที่ต้องจำเป็นและต้องปฏิรูปซะทีนึง