"สังคมไทยไม่เคยสรุปบทเรียนความรุนแรง และนั่นจะทำให้เราฆ่ากันอีก" เสียงสะท้อนจาก "ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" กับ 40 ปี 6 ตุลาฯ

ติดตามข่าวสารที่ www.Tnew.co.th

 

เผลอแป๊บเดียว เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ก็ผ่านมาถึง 40 ปีในปีนี้แล้ว บางคนอาจไม่เคยรับรู้ว่าเช้าวันนั้นเกิดเรื่องราวใดขึ้นบ้าง บางคนอาจยังเกิดไม่ทัน...หรือไม่ก็เด็กเกินกว่าที่จะรับรู้ บางคนอาจพอรู้มาบ้างแต่ก็ยังคลุมเครือไม่แจ่มชัดนัก ขณะที่บางคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงก็จะไม่มีวันลืม เช้ามืดของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ไปเลยทั้งชีวิต...ใครจะคาดคิดว่า...เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาจะเกิดขึ้นจริง...ในเช้ามืดของวันนั้นกลางสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์จะผ่านมาถึง 40 ปี และเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่แสนเจ็บปวด แต่ดูเหมือนสังคมไทยโดยรวมในวันนี้ กลับไม่เคยสรุปบทเรียนเมื่อครั้งอดีต เพื่อนำพาประเทศหลุดพ้นไปจากความรุนแรง ตรงกันข้าม เรากลับแบ่งฝักแบ่งฝ่ายร่ำ ๆ ว่าจะฆ่ากันเช่นวันก่อน


สำนักข่าว TNEWS ได้มีโอกาสพูดคุยสั้น ๆ กับ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ  อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเหตุการณ์ ครบรอบ 40 ปี 6 ตุลาฯ 2519 โดยอาจารย์ณรงค์ ยืนยันว่า ผ่านมาจนวันนี้ "สังคมไทยไม่เคยสรุปบทเรียนความรุนแรง จากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และนั่นจะทำให้เราฆ่ากันอีก" ซึ่งนับเป็นมุมมองที่น่าสนใจ เพื่อที่อย่างน้อยเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง...ชนิดล้อมฆ่าผู้เห็นต่างจะได้ไม่เกิดขึ้นอีกในยุคเรา...ที่แบ่งขั้วทางการเมืองเป็นเหลือง-แดงชัดเจน

 

"ผมคิดว่าการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวทุกยุคสมัย มีความรู้สึกเชิงอุดมการณ์ที่เข้มแข็ง เชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่ขาดข้อมูลข้อเท็จจริงที่รอบคอบ ที่สำคัญคือ เราไม่พร้อมที่จะฟังข้อมูลจากฝั่งตรงข้าม ทุกวันนี้ก็เป็นแบบนี้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก่อนรุ่งเช้าวันที่ 6 ที่จะเกิดการล้อมปราบ ผมบอกนักศึกษาว่า อย่าเพิ่งชุมนุมได้มั้ย เลื่อนไปก่อน ปรากฏว่าไม่มีใครเชื่อที่ผมพูด คือเค้าเชื่อในอุดมการณ์ของเค้า และไม่พร้อมจะฟังคนอื่น นอกจากไม่เชื่อแล้ว ยังมีคนบอกว่า อย่าเชื่อ "ณรงค์" เพราะเป็นพวกประชาธิปัตย์...ผมถึงบอกว่า คนหนุ่มสาวอุดมการณ์เข้มแข็ง แต่ขาดความละเอียดรอบคอบในข่าวสาร ทุกวันนี้ก็เป็นแบบนี้ จึงถูกหลอกได้ง่าย เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจที่ไม่หวังดีได้ง่าย...


"ส่วนบทเรียนภาคประชาชน ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันยิ่งเห็นชัด จากแตกแยกแบ่งซ้าย-ขวา มาเป็นเหลือง-แดง ทุกวันนี้ ใครอยู่สีไหนก็มองขั้วตรงข้ามผิดไปหมด พอแบ่งขั้วแล้วก็ไม่มีเหตุผล ...คือไม่ใช่พวกกูผิดตลอดอะไรประมาณนี้ ที่สำคัญคือไม่เคยเรียนรู้จริง ๆว่า ท่ามกลางเหลือง-แดง มีคนปั่นให้ฆ่ากันเสมอ แล้วเขาก็ขึ้นมามีอำนาจ...ก็เหมือน 6 ตุลาฯ"

 

ไม่เพียงแต่เท่านี้ อ.ณรงค์ ที่ตอนนั้น เป็นประธานสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพฯ ยังย้อนเล่าให้ฟังว่า เช้ามืดของวันที่ 6 ตุลาฯ 2519 ที่ว่ากันว่าบ้านเมืองสุดแสนจะมืดมิดเช้าวันหนึ่งนั้น เขาเห็นแม้กระทั่งศพนักศึกษานิรนามถูกลากมาเผาไฟ...ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คน


"ผมเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่คล้ายคนไม่มีสติ คือมันถูกปลุกปั่นมา เป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ นี่แหล่ะ เด็ก ๆ สัก 10 ขวบก็มี คือตอนนั้นมันปลุกระดมอย่างหนักว่า ธรรมศาสตร์มีพวกแกว พวกญวน นักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ พวกนี้มันจึงบ้าคลั่งเข้าไปทำร้ายนักศึกษา อย่างที่ผมบอกการขาดข้อมูลมันอันตราย ก่อนหน้าช่วงวันที่ 4 ที่ 5 พวกผมพยายามไปนิมนต์รองสังฆราช เพื่อมาระงับเหตุที่คนจะฆ่ากัน แต่ข่าวกลับออกมาว่า พวกผมและนักศึกษาจะไปเผาวัดเสียอีก คือข่าวมันปลุกปั่นมาก และมันขาดข้อมูลทั้ง 2 ฝ่าย มันจึงเสี่ยงที่จะฆ่ากัน

"ผมเห็นกระทั่งศพนักศึกษานิรนามถูกลากมาเผาไฟด้วยซ้ำ บอกตรงๆ มันเป็นเกมปั่นหัวประชาชนให้ฆ่านักศึกษา ผมว่านักศึกษาเสียชีวิตหลายร้อย บาดเจ็บเป็นพัน ๆ น่ะ ผมถึงบอกว่า การยุยงปลุกปั่นมันอันตราย และที่น่าห่วงคือ เราไม่เคยสรุปบทเรียนความรุนแรงในอดีต รวมทั้งก็ไม่เคยสรุปบทเรียนจากการแทรกแซงของมหาอำนาจอย่างอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ด้วย และทุกวันนี้ยังเป็นอยู่"

 

อารมณ์ เคนหล้า สำนักข่าว Tnews