- 31 ต.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
นาย "โทมัส ยอร์ช น็อกซ์" (Thomas George Knox; พ.ศ. 2367-2430 หรือ คศ. 1824 - 1887) นั้น เป็นกงสุลใหญ่ชาวอังกฤษประจำสยามในสมัยรัชกาลที่ 5
... เดิมเป็น "ทหารอังกฤษ" ยศร้อยเอกประจำประเทศอินเดีย กล่าวกันว่าพอเล่นพนันแข่งม้าจนหมดตัว จึงลาออกจากตำแหน่งตามร้อยเอกอิปเป มาทำงานที่ "สยาม" ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 โดยร้อยเอกอิปเปได้เป็น "ครูทหารวังหลวง" ส่วนนายน็อกซ์ พระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้เป็น "ครูวังหน้า" เป็นผู้ฝึกทหารอย่างยุโรป และยังได้เข้ากองทัพกรมหลวงวงศาธิราชสนิทไปตีเมืองเชียงตุง
.. พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทานผู้หญิงเชื้อสายทวายวังหน้า ชื่อ "ปราง" ให้เป็นภรรยา มีลูกด้วยกันสามคน ต่อมาเมื่อรัฐบาล "อังกฤษ" ตั้ง "กงสุลในกรุงเทพ" และด้วยความรู้การ เมืองและภาษาไทย จึงทำงานเป็นผู้ช่วยกงสุล แล้วได้เลื่อนตำแหน่งจนได้เป็น "กงสุลเยเนอราล" มีบรรดาศักดิ์เป็นเซอร์ อีกทั้งยังสนิทและคุ้นเคยกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และได้เป็นกงสุลใหญ่อังกฤษกับอภิรัฐมนตรีในสมัย สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ( ตระกูลบุนนาค ) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
... "โทมัส น็อกซ์" สมรสกับ "ปราง" หญิงเชื้อสายทวายที่ได้รับพระราชทานจากวังหน้า มีบุตรด้วยกัน 3 คน ได้แก่ แฟนนี่ น็อกซ์ หรือ แฟนนี ปรีชากลการ, แคโรไลน์ อีซาเบลลา น็อกซ์ หรือ ดวงแข, โทมัส น็อกซ์
... โดย ต่อมาบุตรสาวคนโตลูกครึ่ง "แฟนนี่ น็อกซ์" แต่งงานกับ "พระปรีชากลการ" (สำอาง อมาตยกุล) จนมีเรื่องราวใหญ่โตมากมาย เพราะว่า พระยาปรีชากลการนั้นไปทำ้เรื่องโหดร้ายเอาไว้
... "พระปรีชากลการ" ขุนนางชาวไทย เขาถูกกล่าวหาว่า "ฆ่าคนตายและทารุณกรรม แก่คนไทยที่เมืองกบินทร์บุรี" แต่ "โทมัส น็อกซ์" ผู้เป็นพ่อตา ซึ่งเป็น "กงสุลอังกฤษ" ประจำประเทศไทย จึงได้ข่มขู่กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสมุหพระกลาโหม ว่าจะนำเรือรบอังกฤษมาข่มขู่ให้ปล่อยลูกเขยของตนแต่กลับไม่สำเร็จ และปิดท้ายด้วยการลงโทษประหารพระปรีชากลการ พร้อมถูกริบราชบาตร นายน็อกซ์ถูกทางการอังกฤษเรียกตัวกลับไป นางแฟนนี่ ลูกสาวต้องหนีออกนอกประเทศและไม่มีข่าวหลังจากนั้นอีกเลย
( เรื่องราวของพระปรีชากลการถูกแต่งเป็นนิยายเรื่อง Fanny & Regent of Siam ("แฟนนี่และผู้สำเร็จราชการแห่งสยาม") ซึ่งรจนาโดยอาร์. เจ. มินนี )
... นอกจากนั้น "โทมัส น็อกซ์" นั้นก็เกี่ยวพันธ์กับกรณีอื้อฉาวอย่าง "วิกฤตการณ์วังหน้า" ด้วย
... หลัง "สัญญาเบาริ่ง" ที่อังกฤษบีบสยาม ทางสยามรายได้ภาษีเข้าประเทศน้อยลง ขุนนางอำมาตย์และกระฎุมพีรายได้มากมายขึ้น ฝรั่งต่างชาติก็รายได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องจ่ายภาษีให้สยาม ทำให้โครงสร้างของระบบศักดนามีการเปลี่ยนแปลงไป เจ้านายมีอำนาจและรายได้น้อยลง เพราะสิ่งเหล่านั้นตกลงไปสู่มือของ ขุนนางอำมาตย์กระฎุมพีมากขึ้น และหลายคนก็เหลิงในอำนาจ พยายามแข่งอำนาจกับทางในวัง
... พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2417-2418 ทรงริเริ่มปฏิรูปปรับปรุงการปกครองประเทศให้ทันสมัย โดยการดึงอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งระบบ "หอรัษฎากรพิพัฒน์" เพื่อรวมรวม "การเก็บภาษี" มาอยู่ที่เดียวกัน ( ปัจจุบันคือ กระทรวงการคลัง ) เน้นการจัดเก็บภาษีเพื่อมาสร้างระบบสาธารณูปโภค เช่นทางรถไฟ คูคลอง ถนนหนทาง การศึกษา ให้ทันสมัย จึงใช้งบประมาณมาก
... แต่ปรากฏว่า "การเก็บภาษีแบบใหม่นั้น" ไปกระทบกระเทือนต่อการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่ "เจ้านายและขุนนางเก่าแก่" เป็นอันมาก โดยเฉพาะ "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง 1 ใน 3 มีทหารในสังกัดถึง 2,000 นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก และเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการสะสมอาวุธ มีความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ทั้งยังทรงระแวงว่าจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่ได้รับการทรงแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยตรงจนเกือบจะเกิด "สงครามกลางเมือง" ซึ่งเรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า "วิกฤตการณ์วังหน้า"
... "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และเข้าไปคบค้าสนิทสนมกับนาย "โทมัส น็อกซ์" กงสุลอังกฤษ .. ประกอบกับในสมัยนั้น "อังกฤษคุกคามสยาม" ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสองส่วนคือ ทางเหนือถึงเชียงใหม่ ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าครอง ทางใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้วจะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
... จนเกิด "วิกฤติการณ์วังหน้า" ขึ้น กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงระแวงว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงกำจัดหรือลิดรอนสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงทรงหนีไปอยู่ "สถานกงสุลอังกฤษ" และเรียกร้องให้ข้าหลวงอังกฤษมาช่วยไกล่เกลี่ย ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและทรงบอก "ไม่ให้พวกอังกฤษมาแทรกแซง" และสุดท้าย "วิกฤตการณ์วังหน้า" ยุติลงในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 หรือ 1875
... ในสายตาของสยามนั้น "โทมัส น็อกซ์" สมัยหลังได้เป็นกงศุลอังกฤษประจำบางกอกนั้น ที่ตอนนั้นอังกฤษกำลังจะพยายามทุกทางที่จะครองครองสยาม จึงถูกมองว่าเป็นสายของรัฐบาลอังกฤษที่มาคอยยุแยงให้ "คนสยามทะเลาะกันเอง" เพื่อจะให้อ่อนแอและครอบครองได้โดยง่ายในที่สุด ที่เป็นวิธีการที่พวกเขาทำมาแล้วทั่วโลกในสมัยล่าอาณานิคม
เครดิต Jeerachart Jongsomchai
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1776295329302472&id=1395770040688338
wikipedia
เรียบเรียง บุญชัย ธนะไพรินทร์



