- 16 พ.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
จากกรณีถูกสถานทูตสหรัฐฯ ในไทยปฏิเสธในการขอวีซ่า ทำให้ต้องยกเลิกการพูดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในนครลอสแอนเจลิส สำหรับ เบส อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดัง (อ่านข่าว : เปิดใจ "เบส อรพิมพ์ " ..เสียใจไม่มีโอกาสไปพูดเรื่อง " ในหลวงรัชกาลที่ ๙ " ในแดนไกลอย่างใจเคยฝัน รับงงสถานทูตUSAถามแค่เล็กน้อยก่อนปฏิเสธวีซ่า??) ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกผิดหวังไปตามๆ กัน ซึ่งเรื่องเป็นมาอย่างไรคงต้องรอดูกันต่อไป
หลายคนอาจจะเคยได้รู้จักชื่อของเธอมาแล้วบ้าง โดยเธอคนนี้เป็นอีกหนึ่งนักพูดแถวหน้าของเมืองไทยที่สร้างปรากฏการณ์ให้คนฟังได้รู้สึกไปพร้อมกับเธอ ซึ่งหลังจากที่ในหลวง ร.9 สวรรคต ใครๆ ต่างก็เชื้อเชิญให้เธอไปพูดถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ และการสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์นี้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่คนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศก็เช่นกัน บอกเลยว่าหากได้ทำความรู้จักและได้ฟังเบส อรพิมพ์ พูดแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณอยากเปิดใจฟังเรื่องราวดีๆ จากเธอไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
เบส - อรพิมพ์ รักษาผล สาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เกิดและเติบโตที่จังหวัดชุมพร ปัจจุบันมีอายุ 30 ปี เธอเป็นหนึ่งในนักพูดขวัญใจชาวไทย มีฉายาว่า นักพูดล่าความกตัญญูและนักพูดร้อยศพ จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเธออายุ 13 ปี โดยคุณครูของเธอนั้นเป็นคนผลักดันและให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะประกวดเวทีไหนๆ อย่างพูดสุนทรพจน์ บรรยายธรรม หรือโต้วาที เธอก็สามารถกวาดรางวัลมาได้หมด ซึ่งเรื่องแรกบนเวทีแรกที่เธอหยิบมาพูดคือ เรื่องพ่อประจำบ้าน (พระคุณของพ่อ) และเมื่อเธอมีโอกาสพูดในหลายๆ ที่ ก็ทำให้สั่งสมประสบการณ์ด้านการพูดมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นนักพูดล่ารางวัล
โดยรางวัลที่เธอได้รับมีเยอะมายมาย อาทิ เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ปี 2546, เยาวชนดีเด่นสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2545, รางวัลนักเรียนพระราชทาน, ลูกกตัญญูดีเด่นแห่งชาติ 2551 และวิทยากรดีเด่นระดับชาติ ส่วนฉายา นักพูดร้อยศพ ได้มาจากที่เธอเคยไปพูดตามงานศพต่างๆ โดยหลังจากที่เธอได้รับรางวัลเยอะมากมาย ก็ทำให้ตัวเองเปลี่ยนความรู้สึกที่ว่าน่าจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นการพูดในแนวทางสร้างแรงบันดาลใจ หรือสร้างจิตสำนึกให้คนแทน จึงเป็นสิ่งชักจูงเธอให้ไปพูดตามงานศพต่างๆ ถึงเรื่องของพระคุณพ่อแม่ เป็นการให้มุมมองคนฟังว่า สำหรับคนที่ยังอยู่จะต้องทำอะไรหลังจากนี้ เพื่อทำให้คนที่จากไปไม่เป็นห่วง และจะทำอะไรเพื่อไม่ให้สายไปต่อคนที่รักเรามากที่สุด
นอกจากนี้แล้ว เธอยังเคยถูกเชิญให้ไปพูดในสถานพินิจต่างๆ หรือในคุกบ้าง เพื่อเปลี่ยนมุมมอง สร้างแรงกระตุ้นจูงใจใหม่ๆ ให้คนเหล่านั้น ซึ่งทุกที่ที่ไปเธอจะพูดถึงเรื่องความกตัญญู และพระคุณของพ่อแม่เป็นหลัก จนเธอนั้นได้รับอีกหนึ่งฉายาว่า 'นักพูดล่าความกตัญญู' สำหรับจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มพูดถึงในหลวง ร.9 บนเวทีต่างๆ เป็นเพราะย้อนกลับไปเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เธอได้รับถ้วยพระราชทานของพระองค์ อีกทั้งวันหนึ่งเธอได้มีโอกาสศึกษาพระราชกรณียกิจต่างๆ และรู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ว่าพระองค์ทรงงานหนักขนาดไหนเพื่อประชาชน พลางคิดว่าทำไมเวลาหยิบยกเรื่องใดมาพูดจะต้องไปอ้างตัวอย่างมาจากที่ไหน อย่างชาวต่างชาติที่เก่งๆ หรือนักปราชญ์ทั้งหลาย
ทั้งๆ ที่จริงแล้วเราทุกคนมีตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว นั่นคือในหลวง ร.9 ตั้งแต่นั้นเลยทำให้เธอเริ่มมาพูดให้คนฟังถึงเรื่องราวของพระองค์จริงๆ ตระหนักให้รู้ว่าทุกคนโชคดีแค่ไหน และอย่าหลงลืมที่จะตอบแทนความโชคดีนี้ที่ได้เกิดมาในยุคพ่อหลวง ร.9 บนแผ่นดินไทย โดยพระราชกรณียกิจของพระองค์มีมากกว่า 4,000 โครงการ ทั้งชั่วชีวิตก็คงเรียนรู้ไม่หมด เธอจึงเรียนรู้ในมุมมองที่อยากไปถ่ายทอดพระองค์ทรงอยู่ใกล้ตัวทุกคนมาก ซึ่งเธอจะศึกษามาก่อนพูดในเชิงวิเคราะห์สามารถทำให้คนฟังสัมผัสได้ และซาบซึ้งในทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงทำ ทุกคนสามารถสัมผัส และรับรู้ได้ถึงความห่วงใยนั้น มันไม่ใช่นิยาย หรือสิ่งที่เขียนเกินจริงหากแต่ทั้งหมดทั้งมวล มันเป็นเรื่องจริง สิ่งเหล่านี้เธอเผยว่า มันกระทบใจคนฟัง และกลายมาเป็นคลื่นพลังมหาศาล เป็นพลังแห่งความจงรักภักดี และเป็นที่มาของการร่วมใจกันทำความดีไปโดยปริยาย
ภายหลังจากในหลวง ร.9 สวรรคต ตั้งแต่นี้ไปตลอดระยะเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่ เธอตั้งใจไว้ว่าจะมุ่งทำความดี เดินตามรอยพระองค์ต่อไป และถวายงานด้วยการใช้ภาษาสื่อสารที่เป็นพรสวรรค์ เธอจะบอกเล่าพระราชกรณียกิจต่างๆ ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ว่ามันคือความโชคดีแค่ไหนและเราทุกคนจะตอบแทนความโชคดีเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ล่าสุดก็มีเรื่องให้น่าผิดหวัง เมื่อสถานทูตสหรัฐฯ ในไทยปฏิเสธการให้วีซ่าของเธอ ทำให้เธอต้องยกเลิกการพูดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ของในหลวง ร.9 ให้ชาวไทย และชาวอเมริกันใน 4 เมืองใหญ่ของนครลอสแอนเจลิสได้ฟังกัน โดยตามวันเวลาที่นัดหมายไว้นั้นเธอจะต้องเดินทางไปนครลอสแอนเจลิสวันที่ 3 ธ.ค. และที่เมืองบอสตัน วันที่ 5 ธ.ค. นี้
ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อย เพราะชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ อยากฟังกันมาก และเชื้อเชิญเธอมาพูดในครั้งนี้ รวมถึงคณะกรรมการเองก็ได้ร่วมมือกันจัดและกำหนดให้เข้าฟังฟรีโดยไม่มีการเสียค่าเข้าแต่อย่างใด ทว่าสุดท้ายก็เป็นอันต้องยกเลิก ทั้งนี้ เธอคนนี้อาจไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจในความสำเร็จด้านเงินทอง ความร่ำรวย ทว่าเธอคือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของใครหลายคน คำพูดของเธอสามารถเปลี่ยนให้คนลุกขึ้นสู้ และตอกย้ำใจที่ด้านชาของใครหลายคนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง คำพูดที่ทำให้ทุกคนกลับมาเห็นค่าของตัวเองจะเป็นยารักษาทุกบาดแผลให้กลับมาสมานอีกครั้ง
เรียบเรียงโดย กำพลาภร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอบคุณข้อมูล ไทยรัฐ
ขอบคุณรูปภาพ อินสตาแกรม best_orapim



