- 28 พ.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ถือเป็นกระแสข่าวมหามงคลที่พสกนิกรไทยคนไทยเฝ้ารอความชัดเจน จากกำหนดประชุมครม.และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามที่มีนัดหมายในวันพรุ่งนี้ ( 29 พ.ย.)
ขณะที่ย้อนหลังกลับไปเมื่อ... “ วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 11.30 น. สถานีวิทยุกระจายเสียงเคลื่อนที่ของกรมประชาสัมพันธ์ ได้ออกแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังมีใจความว่า ... ”
“เช้าวันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีได้ประชวรพระครรภ์ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐบาล ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กรรมการแพทย์ และสักขีพยานประสูติ ได้มาประชุมพร้อมเพรียงกัน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรรมการแพทย์คาดการณ์ว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะได้ประสูติพระเจ้าลูกยาเธอในบ่ายวันนี้”
จนกระทั่งตอนเย็น ..แม่น ชลานุเคราะห์ โฆษกของสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ได้อ่านข่าวผ่านสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์
“วันนี้เวลา 17.45 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ได้ประสูติพระโอรสโดยสวัสดิภาพ นายแพทย์ตรวจพระอาการรายงานว่า ทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ และพระราชกุมาร มีพระอาการทรงสำราญดีทั้งสองพระองค์”
หม่อมราชวงศ์ สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้เล่าลงในหนังสือ “วงวรรณคดี” ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. 2495 มีความน่าสนใจว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ ประชวรพระครรภ์มาตั้งแต่ เวลา 09.08 น. และประชวรเป็นระยะ ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประทับคอยฟังข่าวด้วยความเร่าร้อนพระราชหฤทัยอยู่ในห้องที่อยู่ติดกับแพทย์กำลังถวายการประสูติ ที่มีแต่นายแพทย์หม่อมหลวง เกษตร สนิทวงศ์ และนางพยาบาลผู้ช่วยประสูติ 3 คน คือ นางสาว ถวิลหวัง ทุติยโพธิ์ นางสาวอาบ สุคันธนาค และนางสาวประเทือง เกาไศยนันท์ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี คณะองค์มนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รออยู่ภายนอก
ทุกคนต่างทราบการประสูติแล้ว ตรงที่ได้ยินพระสุรเสียงของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และในทันทีที่มีผู้บอกว่าเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระกิริยาตื่นเต้นเป็นพิเศษ แล้วทั้งหมดก็เปล่งเสียงไชโยขึ้น 3 ครั้ง และกระโดดโลดเต้นขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ดังสนั่นไปทั้งพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต และยังดังสะท้อนมาสู่ประชาชนที่ออกันแน่นขนัดบริเวณสนามเสือป่าอย่างชัดเจน”
ทรงพระนามเมื่อแรกพระราชสมภพว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณสวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร”
จวบจนปัจจุบัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร นอกจากจะเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถแล้ว ยังทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่ 3 ของไทย ถือเป็นพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงษ์ พระพุทธศักราช 2467
ขณะที่ตามมาตรา 23 ระบุว่า กรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
เรียบเรียงข่าว : ชัชรินทร์ สุรพัฒน์
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลภาพ : ชีวอโรคยา / Pantip / หนังสือที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ “สยามมกุฎพิสุทธิ์ศิลป์”



