ลักหลับ!! คลอดพ.ร.บ.นิรโทษทักษิณไม่พอ??! "อนุตตมา" โอ่สุดติ่งรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" มีศักยภาพทำศก.หลังน้ำท่วมฟื้นตัวได้รวดเร็ว โทษชัตดาวน์กรุงเทพ+รัฐประหารทำปท.เจริญถอยหลัง

 

 

กลายเป็นกระแสลูกคลื่นทางการเมืองที่ออกมากระตุกการทำงานของรัฐบาลเป็นรายวัน สำหรับเครือข่ายระบอบทักษิณ ล่าสุด น.ส. อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้วิพากษ์วิจารณ์ไปถึงทีมงานเศรษฐกิจรัฐบาล ว่าการพยายามวาดฝันว่าในปี 2560 เศรษฐกิจจะดี  คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กลับเห็นตรงข้ามและไม่อยากให้วาดฝันเกินจริง เพราะตั้งแต่หลังรัฐประหาร ทีมเศรษฐกิจชุดนี้ก็พยายามที่จะทำการตลาดและขายฝันแบบนี้มาโดยตลอด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงลำบากกันอย่างมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และ ผู้หาเช้ากินค่ำ ลำบากกันอย่างมากจนจะทนกันไม่ไหวแล้ว

 

 

 

 

นอกจากนี้การที่ทีมเศรษฐกิจอ้างว่าสามารถทำเศรษฐกิจให้ฟื้นจาก 0.8% มาเป็น 2.8% และ ประมาณ 3.2% ในปีนี้ น่าจะเป็นการให้ข้อมูลที่ผิด เพราะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำในปี 2557 เกิดจากการชัตดาวน์กรุงเทพและการเกิดรัฐประหาร จึงทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ โดย 2 ปีที่ผ่านมา มีการขยายตัว 2.8 ในปี 2558 และ ประมาณ 3.2% ในปี 2559 นี้ ถือเป็นการเจริญเติบโตที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ขนาดประเทศมาเลเซียที่ประชาชนมีรายได้ต่อหัวมากกว่าไทยเกือบหนึ่งเท่ายังขยายตัวมากกว่าไทยมาก และ ไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมาก ซึ่งรัฐบาลก็ยอมรับเองถึงจะพยายามเร่งขยายจีดีพีให้ได้ 4-5 % ให้เป็นไปตามศักยภาพแต่ก็เป็นไปได้ยาก

 

 

 

ประเด็นสำคัญ น.ส.อนุตตมา ยังอ้างด้วยว่า  ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ เศรษฐกิจฟื้นจากปี 2554 ที่น้ำท่วมใหญ่มาขยายตัวถึง 6.5% ในปี 2555 ตามศักยภาพอย่างแท้จริง และการที่ จะหวังว่านักลงทุนจากต่างประเทศจะเริ่มลงทุนในปีนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น น่าจะเป็นความคาดหวังที่มากกว่าความจริง ทุกคนยังจำได้ตอนยกทีมไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนในปี 2558 แต่ญี่ปุ่นกลับลงทุนลดลง 90% และ ปี 2559  ที่ไปเชิญชวนการลงทุนจากเยอรมันและฝรั่งเศส ก็ไม่มีการลงทุนเกิดขึ้นเลย  ดังนั้น ถ้าอยากให้มีการลงทุนจากต่างประเทศ ก็ต้องรีบกลับไปสู่ระบอบที่ประชาคมโลกยอมรับโดยเร็ว เพื่อเริ่มเจรจาขัอตกลงทางการค้ากับนานาชาติได้ และเศรษฐกิจก็จะกระเตื้องขึ้นจากที่ตกต่ำมากในปัจจุบัน

 

 

 

 

อย่างไรก็ตามยังคงมีข้อเท็จจริงอีกด้านว่าก่อนหน้านั้น  นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 59 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.3-3.5% ซึ่งภาพรวมถือว่ามีอัตราการฟื้นตัวอย่างช้าๆ และ ไม่ได้ขยายตัวสูงอย่างที่คาดหวังไว้ โดยตั้งแต่ไตรมาส 1/59 เศรษฐกิจขยายตัวที่ 3.2% ไตรมาส 2/59 ขยายตัว 3.5% และ ไตรมาส 3/59 ขยายตัว 3.3% ขณะที่ปี 60 ขยายตัวได้ 3.5-4% ส่วนการส่งออกปี 59 คาดว่าจะขยายตัวติดลบติดลบ 1-0% และ ปี 60 คาดว่าขยายตัว 0-2%

 

 

 

 

โดยปัจจัยที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ รวมถึงการลงทุน และ การใช้จ่ายจากภาครัฐ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในปีหน้า ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนให้หันกลับมาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลจากแนวนโยบายรัฐบาลทรัมป์ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ความเสี่ยงทางการเมืองในภูมิภาคยุโรป รวมถึงการเติบโตที่ชะลอลงของเศรษฐกิจจีน

 

 

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาครัฐมีนโยบายสร้างความยั่งยืน และ ปฎิรูปเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับกลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่ม จำนวน 1 แสนล้านบาท หรือ จังหวัดละ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการปรับโครงสร้างการส่งออก ที่เป็นกลไลหลักแต่เดิม แต่จะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิมากขึ้น และ จะเป็นการพัฒนาการในเชิงพื้นที่เพื่อสร้างความเข็มแข็งอย่างยั่งยืน การเกษตร การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อเชื่อมต่อกับไทยแลนด์ 4.0

 

 

 

 

"ถือเป็นมิติใหม่ตามกระบวนของประชารัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ที่ภาคประชาชน เอกชน ท้องถิ่นเข้าไปร่วมโครงการ โดยจะเป็นการทำจากฐานรากขึ้นไปหาข้างบน อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าโครงการดังกล่าวเป็นการดึงศักยภาพของต่างจังหวัดให้เติบโตอย่างยั่งยืน และ ยังเป็นการยกระดับของเมืองให้ทัดเทียมกับ กทม. ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเพิ่มเศรษฐกิจขยายตัวได้อีก 0.5% หรือ ผลักดันเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัวได้ถึง 4-4.5%"

 

 

 

เรียบเรียงโดย กำพลาภร สำนักข่าวทีนิวส์