- 25 มี.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
พฤติการณ์เลวสุดโคตร !! “ไพศาล พืชมงคล” (สิริอัญญา) ย้ำชัดๆ ขบวนการจัดตั้ง “สหพันธรัฐไทย” เจตนาแบ่งแยกไทย ข้อหนักขั้น “กบฏ” ชูธงประธานาธิบดีเป็นประมุข??
ถือเป็นจิ๊กซอร์สำคัญ สำหรับคำสารภาพของนายธีรชัย อุตรวิเชียร หรือ ระพิน ในการยอมรับว่าอาวุธสงครามจำนวนมากที่ซุกซ่อนภายในบริษัท ไทยแม็กซ์กรุ๊ป เป็นของ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) และโกตี๋ก็ยอมรับว่า นายธีรชัย เป็นหัวหน้าการ์ด รวมถึงยังเคลื่อนไหวโดยได้รับคำปรึกษาจากนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.คมนาคม และ รมว.มหาดไทย ในยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ประเด็นสำคัญก็คือ นายธีรชัย ยอมรับด้วยว่า เคยเดินทางไปพบกับนายโกตี๋ ที่ประเทศลาว ประมาณ 3 ครั้ง พูดคุยกันถึงแนวทางการต่อต้านรัฐบาลคสช. และนายโกตี๋พูดด้วยว่ามีผู้ใหญ่ระบุว่ามีอาวุธอยู่ 2 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่โกตี๋ไม่เคยเห็นอาวุธในตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว ส่วนผู้ใหญ่ที่โกตี๋กล่าวอ้างนั้นน่าจะเป็นอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง ซึ่งสื่อมวลชนบางสำนักมีการเชื่อมโยงชื่ออดีตรมต.รายนั้นว่าเป็น “นายจารุพงศ์” นั่นเอง ??
ต่อประเด็นดังกล่าว ล่าสุด นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้โพสต์บทความในนาม “สิริอัญญา” แสดงความเห็นเกี่ยวกับคำว่า “สหพันธรัฐไทย” ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก หลังจากนายโกตี๋ออกมาเน้นย้ำว่าเป็นแนวคิดที่ถือเป็นเป้าหมายในการดำเนินการ !!!!
“ บรรดาผู้คนที่ติดตามโซเชียลมีเดียในปัจจุบันนี้ก็จะได้พบได้เห็นถึงการเปิดตัวสหพันธรัฐไทย ซึ่งประกาศเปิดตัวอย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง เนื้อใหญ่ใจความก็คือมุ่งแบ่งแยกประเทศไทย จัดตั้งเป็นสหพันธรัฐไทย ซึ่งเป็นระบอบสาธารณรัฐ
ก็เป็นสาธารณรัฐแบบฝรั่งเศสและเยอรมันนั่นแหละ ซึ่งหมายความว่าระบอบดังกล่าวนี้จะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยจะไม่เป็นราชอาณาจักร แต่จะเป็นสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ที่ระบุว่าเป็นสหพันธรัฐก็หมายความว่า จะมีการแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นรัฐ หลายรัฐ และรัฐเหล่านั้นก็จะรวมกันเป็นสหพันธรัฐ และสหพันธรัฐนี้ก็จะเป็นสาธารณรัฐ คือมีประธานาธิบดีเป็นประมุข นี่คือสิ่งที่เขาประกาศกันอย่างเปิดเผยแล้วในขณะนี้
แต่เป็นเรื่องแปลกที่ว่าสื่อกระแสหลักก็ดี แม้กระทั่งหน่วยงานของรัฐบาลก็ดี ไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้ ประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความเคลื่อนไหวเรื่องสหพันธรัฐไทยนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง และมีการระบุชื่อผู้เกี่ยวข้องหลายคน ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุว่าใครจะเป็นหัวโจกใหญ่ แต่อย่างน้อยตัวบุคคลที่เปิดเผยออกมาก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นระดับแกนนำสำคัญทั้งสิ้น
ขบวนการดังกล่าวนี้ได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่า มีการเคลื่อนไหวปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ และประเทศในแถบยุโรปอีกบางประเทศ แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกา รวมความก็คือขบวนการดังกล่าวนี้มีการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมีการเปิดเผยอีกว่าขบวนการดังกล่าวนี้มุ่งหมายที่จะต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ และบางกระแสข่าวก็ระบุว่าการจับกุมอาวุธครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดนี้ก็เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวนี้
ความจริงเคยมีการคุยโวโอ้อวดเป็นนัย ๆ มาก่อนแล้วว่าการเปิดฉากปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อเริ่มก่อตั้งสงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศนั้นจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมานี้ ถึงขนาดมีการใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาโดยอาศัยหมอดูเป็นเครื่องมือ ช่วยกันทำนายทายทักหลอกลวงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ถึงขั้นระบุว่าจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ผลัดเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งในตอนนั้นก็มีผู้ใช้วิชาโหราศาสตร์ออกมาตอบโต้ว่าการโคจรของดาวเดือนในจักรราศีในห้วงเวลานั้นไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น แต่จะมีเรื่องที่ดีงามขึ้นในบ้านเมือง
ผลที่สุดก็ไม่มีเรื่องดังที่มุ่งปฏิบัติการจิตวิทยา และเหตุการณ์ก็เป็นไปดังที่มีผู้พยากรณ์ทักท้วง คือมีการถอดสมณศักดิ์ธัมมชโยและทัตตชีโว ซึ่งทำให้ทั้งสองคนนี้ไม่มีโอกาสได้มีอำนาจบริหารจัดการวัดพระธรรมกายและเครือข่ายกบฎผีบุญอีกต่อไป
แต่แล้วก็ยังดิ้นรนกระเสือกกระสนต่อไป ออกข่าวลวงโลกว่าเหตุร้ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะ 6 เดือนจากนี้ไป ซึ่งหมายความว่ามุ่งเอาช่วงที่พระอาทิตย์โคจรเป็นอริลัคนาดวงเมืองในราศีกันย์เป็นเกณฑ์ ซึ่งก็จะต้องติดตามดูกันต่อไป
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของขบวนการดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการเคลื่อนไหวปกติธรรมดาในทางการเมือง แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างการปกครองของประเทศ เพื่อแบ่งแยกประเทศเป็นรัฐต่าง ๆ และรวมกันเป็นสหพันธรัฐ และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ โดยวิถีทางการจัดตั้งมวลชนแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในอดีต และใช้แนวทางต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ
การเคลื่อนไหวเช่นนี้จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานกบฎและอั้งยี่พร้อมกันไปด้วย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าใหญ่หรือแกนนำมีความรับผิดในทางอาญาด้วยโทษประหารชีวิตสถานเดียวเท่านั้น
ส่วนบรรดาผู้ปฏิบัติงานและสมาชิกของขบวนการดังกล่าวก็มีความผิดฐานเป็นผู้ร่วมการกบฎและเป็นสมาชิกหรือผู้ปฏิบัติงานของอั้งยี่ ซึ่งมีโทษสถานหนักอย่างเบาที่สุดก็จำคุก 10 ปี อย่างหนักก็ประหารชีวิตเช่นเดียวกัน
ความผิดในลักษณะนี้ผู้ที่เป็นสมาชิกหรือผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน แม้จะไม่ได้กระทำความผิดฐานอื่น แต่เพียงแค่เป็นสมาชิกหรือผู้ปฏิบัติงานของขบวนการนี้ก็มีความผิดอาญาร้ายแรงสถานหนักแล้ว
วันใดก็ตามที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นการกบฎ อั้งยี่และซ่องโจรกับขบวนการดังกล่าว นับแต่นั้นการดำเนินคดีก็ย่อมขยายผลครอบคลุมไปถึงบรรดาคณะหัวหน้า คณะแกนนำ รวมทั้งผู้เป็นสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานทั้งหมดด้วย
ดังนั้นจึงต้องบอกกล่าวให้รู้กันล่วงหน้าเพราะบ้านเมืองของเราทุกวันนี้เล่นโซเชียลมีเดียกันจนไม่รู้คุณรู้โทษ ดังตัวอย่างเช่นการเผยแพร่หรือแชร์ข้อความที่เป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งต้องรับผิดกันมามากมายให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัวกันนับไม่ถ้วนแล้ว
ทว่าเรื่องกบฎ เรื่องอั้งยี่และซ่องโจรนั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จึงต้องบอกกล่าวให้รู้กันล่วงหน้าว่าเห็นท่าไม่ช้าไม่นานคงมีการดำเนินการในเรื่องนี้แน่ เพราะเรื่องใหญ่คอขาดบาดตายขนาดนี้ หากใครนิ่งดูดายไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็คงนั่งเฉยเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไปอย่างแน่นอน
นี่คือหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงใหญ่ของประเทศ ??
ขอบคุณที่มา : Paisal Puechmongkol



